วันที่16 พฤษภาคม 2567 เมื่อเวลา 10.50 น. (เวลาท้องถิ่นกรุงปารีส ซึ่งช้ากว่ากรุงเทพฯ 5 ชั่วโมง) ณ ศูนย์ประชุม L'Apostrophe กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมและกล่าวปาฐกถาในงาน Thailand - France Business Forum โดยภายหลังเสร็จสิ้น นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญของปาฐกถา ดังนี้ 

นายกรัฐมนตรีขอบคุณการต้อนรับอย่างอบอุ่น ฝรั่งเศสถือเป็นประเทศแรกในภูมิภาคยุโรปที่นายกรัฐมนตรีเยือนอย่างเป็นทางการ และในครั้งนี้ถือเป็นการเยือนครั้งที่ 2 ในช่วงเวลา 3 เดือน สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกัน เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้เชิญผู้บริหารองค์กร Comité Colbert เยือนไทยเพื่อสัมผัสวัฒนธรรมและงานฝีมือของไทย ซึ่งไทยต้องการเรียนรู้ความเชี่ยวชาญและร่วมมือกับฝรั่งเศสในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย และวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้นำคณะนักธุรกิจชั้นนำของไทยร่วมการเยือนในครั้งนี้ด้วย ถือเป็นความมุ่งมั่นร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีมาครง เพื่อต้องการสร้างเวทีให้ภาคเอกชนชั้นนำได้พบปะ เชื่อมโยง และร่วมงานกัน ซึ่งเชื่อมั่นว่า งาน Thailand - France Business Forum จะถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี 

ทั้งนี้ ไทยถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับที่ 3 ของฝรั่งเศสในอาเซียน ซึ่งเชื่อมั่นว่าในการนำของรัฐบาลไทยจะเป็นพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศสในภูมิภาคได้ ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศมีความร่วมมือที่แข็งแกร่ง ในส่วนของความร่วมมือระดับประชาชน มีคนไทยราว 3 หมื่นคน อาศัยอยู่ที่ฝรั่งเศส และมีชาวฝรั่งเศสราว 4 หมื่นคน อาศัยในประเทศไทย และไทยถือว่าเป็นประเทศลำดับ 2 ในเอเชียที่มี expats โดยส่วนของการท่องเที่ยว ปี 2566 ชาวฝรั่งเศสเดินทางไปไทยราว 2 แสน 7 หมื่นคน และมีนักท่องเที่ยวไทยไปฝรั่งเศสเกือบ 2 แสนคน 

รัฐบาลไทยเพิ่งเปิดตัววิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND” เพื่อยกระดับไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมระดับโลกใน 8 ภาคส่วน ได้แก่ การท่องเที่ยว การแพทย์และสุขภาพ อาหารและเกษตรกรรม การบิน การขนส่ง การผลิตยานยนต์แห่งอนาคต เศรษฐกิจดิจิทัล และการเงิน ซึ่งวิสัยทัศน์นี้นำเสนอศักยภาพมากมายสำหรับภาคเอกชนฝรั่งเศสที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้แลกเปลี่ยนประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1. การขนส่ง (Logistics) รัฐบาลมีเป้าหมายผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับภูมิภาคอื่น ๆ โดยมี Mega Project อย่างโครงการ Landbridge เชื่อมโยงเส้นทางการค้าและการขนส่งจากมหาสมุทรแปซิฟิก เข้ากับมหาสมุทรอินเดีย และเมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะเพิ่มความเชื่อมโยงด้านคมนาคมทั้งทางบกและทะเลกับภูมิภาคอื่น ๆ มากขึ้น

2. การบิน (Aviation) รัฐบาลต้องการผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางการบิน ทั้งผู้โดยสารและสินค้า ผ่านการเร่งดำเนินแผนการสร้างสนามบินใหม่และปรับปรุงสนามบินเดิม พร้อมวางแผนพัฒนาการซ่อมบำรุงอากาศยาน (Aviation Maintenance, Repair and Overhaul: MRO)  ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินอย่างเต็มรูปแบบ โดยนายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้ฝรั่งเศสใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้  และ 3. ดิจิทัล ไทยมีอินเทอร์เน็ต 5G ที่ครอบคลุม และโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ประกอบกับชาวไทยมีการใช้งานบนแพลตฟอร์มดิจิทัลจำนวนมาก รวมถึงการชำระเงินทางโทรศัพท์กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ซึ่งเหล่านี้เป็นรากบานที่แข็งแกร่งที่จะผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค ความสำเร็จของโครงการเหล่านี้สามารถทำให้ไทยกลายเป็นประตูสู่ภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์อินโด - แปซิฟิกของฝรั่งเศส 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี หวังว่าฝรั่งเศสจะสนับสนุนการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย - สหภาพยุโรป ซึ่งเมื่อลงนามแล้วเสร็จ คาดว่าจะเพิ่มปริมาณการส่งออกจากสหภาพยุโรปมายังไทยกว่าร้อยละ 40 และเพิ่มปริมาณการส่งออกของไทยไปสหภาพยุโรปมากกว่าร้อยละ 25 โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศจะเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุการเจรจา FTA ดังกล่าว

นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำเรื่องความยั่งยืน ซึ่งเป็นความท้าทายระดับโลก และเป็นวาระสำคัญของรัฐบาล โดยรัฐบาลมีเป้าหมายด้านการเปลี่ยนผ่านสีเขียว (Green Transition) ผ่านการมี Roadmap ที่สมบูรณ์เพื่อบรรลุเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนร้อยละ 50 ของการผลิต ภายในปี ค.ศ. 2040 และในวันนี้ ภาคเอกชนด้านเกษตรและอาหารของไทยจะลงนาม MoU ด้าน sustainable mobility ร่วมกับฝ่ายฝรั่งเศส โดยไทยต้องการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์แห่งอนาคต โดยเฉพาะในห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ไทยยังพิจารณาใช้ Green Hydrogen และ Small Module Reactor (SMR) เป็นเครื่องมือทำให้การผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้พบหารือกับหน่วยงานด้านพลังงานสะอาดของฝรั่งเศส Electricite de France (EDF) เมื่อการเยือนอย่างเป็นทางการด้วย

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำสองประเด็นสำคัญ คือ 1. เชื่อมั่นว่าการติดต่อและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน จะทำให้เกิดความเข้าใจ วางใจ และมั่นใจต่อกันมากขึ้น จึงเชิญชวนให้ฝ่ายฝรั่งเศสเดินทางมายังประเทศไทยมากขึ้น โดยรัฐบาลได้อำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่า และหวังอย่างยิ่งว่า ไทยจะได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศสในการยกเว้นการตรวจลงตราเข้าเขตเชงเกนสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย พร้อมเน้นย้ำว่า 2. ประเทศไทยเปิดกว้างสำหรับการดำเนินธุรกิจ รัฐบาลมีทิศทางนโยบายที่ชัดเจน มีแรงจูงใจที่ดี และมีความมุ่งมั่น เพื่อสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจและธุรกิจระหว่างไทยกับฝรั่งเศสให้เจริญรุ่งเรือง และหวังว่างานนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้เข้าร่วมทุกคน 

ด้านนายฟรองซัวส์ กอร์แบง (François Corbin) ประธานสภาธุรกิจฝรั่งเศส-ไทย และรองประธานสภานายจ้างฝรั่งเศสในต่างประเทศ MEDEF International (MEDEFi) ซึ่งได้กล่าวว่าเชื่อมั่นว่าในงานนี้จะเพิ่มตัวเลขทางการค้าและเพิ่มความสัมพันธ์ในการทำธุรกิจระหว่างระหว่างไทยกับฝรั่งเศสมากขึ้น และ นาย Franck Riester รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด้านการค้าต่างประเทศ ความน่าสนใจ ทางเศรษฐกิจ และคนชาติในต่างประเทศ ซึ่งได้ กล่าวว่าไทยและฝรั่งเศสมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันหลายครั้งซึ่งเชื่อว่า ความร่วมมือ FTA ไทย - สหภาพยุโรป จะช่วยด้านการค้าการลงทุนมากขึ้น และความร่วมมือในด้านต่างๆ เหล่านี้จะปูทางไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน ในปัจจุบัน ไทยเป็นประเทศที่ลงทุนในฝรั่งเศสเป็นอันดับสองในอาเซียน ในขณะที่ฝรั่งเศสลงทุนในประเทศเป็นอันดับที่สามในสหภาพยุโรป

ทั้งนี้ งาน Thailand - France Business Forum เป็นผลสำเร็จจากการเดินทางเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2567 เป็นการจัดงานส่งเสริมการค้าระหว่างกันและสนับสนุนให้ภาคเอกชนฝรั่งเศสเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ขยายความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพในการทำธุรกิจร่วมกัน ได้แก่ สาขา 1) Energy 2) Circular industry 3) Mobility / Construction / Transportation 4) Food & Beverages 5) Hospitality และ 6) Sustainable Cities โดยงานดังกล่าวได้รับความสนใจจากทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนทั้งไทยและฝรั่งเศส ซึ่งเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก