ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย

หลายฝ่ายต่างแปลกใจที่ประเทศมุสลิม ที่ร่ำรวยอย่างซาอุดีอาระเบีย การ์ตา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ต่างพากันเงียบเฉย ไม่กล้าใช้อำนาจทางเศรษฐกิจของตน กดดันอิสราเอลหรือสหรัฐฯ เพื่อให้ยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ของอิสราเอลในกาซา

และทำไมประเทศเหล่านั้นจึงดูไม่ค่อยกระตือรือร้นในการช่วยเหลือทางการเงินเพื่อสนับสนุนปาเลสไตน์ และฮามาส อย่างน้อยก็ในทางเปิดเผย เหมือนอย่างที่ประเทศตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯเขาทำกัน

จากการวิเคราะห์ประเทศเหล่านี้ แม้มีรายได้มหาศาลทั้งส่วนของประเทศ และส่วนตัวของชนชั้นปกครอง แต่เงินเหล่านี้ไม่อาจนอนอยู่เฉยๆในประเทศ หรือใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยทั้งในและต่างประเทศ

เงินส่วนใหญ่จึงถูกนำไปใช้ในการลงทุนเพื่อขยายฐานของกองทุนออกไป และแหล่งลงทุนขนาดใหญ่ในโลกนี้ ที่มีกลไกอำนวยความสะดวก มีมาตรฐาน และมีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในสหรัฐฯหรือยุโรป

ดังนั้นสหรัฐฯและยุโรปจึงเป็นช่องทางหลักที่ประเทศเหล่านั้นไปลงทุน และเป็นที่เก็บเงินและหลักทรัพย์ ส่วนใหญ่ของประเทศและบุคคลชั้นนำของกลุ่มประเทศอาหรับที่ร่ำรวย

ในอีกด้านหนึ่ง การมีอำนาจเหนือองค์การ และระบบการเงินของโลกตามข้อตกลง Bretton Wood ของตะวันตก ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น WORLD BANK และ IMF ตลอดจนระบบโอนเงินระหว่างประเทศ SWIFT จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของตะวันตกในการควบคุมโลก ที่เรียกว่า “ระเบียบโลก-World Order”

ดังนั้นหากกลุ่มประเทศอาหรับที่ร่ำรวย ทำการแข็งขืนโดยชัดแจ้งกับการก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอล ด้วยการสนับสนุนทั้งจากสหรัฐฯและยุโรป ประเทศอาหรับเหล่านี้อาจโดนมาตรการแซงก์ชัน อาญัติทรัพย์ หรือแม้แต่ยึดทรัพย์จากตะวันตกได้อย่างน่าตาเฉย ด้วยเหตุผลที่ปั้นแต่งได้นานัปการ

นั่นจึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชนชั้นปกครอง และรัฐบาลของกลุ่มประเทศอาหรับที่ร่ำรวยต้องยับยั้งชั่งใจในการแสดงปฏิกิริยาตอบโต้การกระทำที่ก้าวร้าวและละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมของอิสราเอล ภายใต้การสนับสนุนของตะวันตก

ในทางกลับกันต่อกรณีความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน แม้รัสเซียจะอ้างว่าการบุกยูเครนนั้นเป็นไปเพื่อความมั่นคงของตนเอง จากการที่ยูเครนจะเข้าเป็นสมาชิกนาโต อันรัสเซียถือว่าเป็นภัยคุกคามตน นั่นก็คือการปกป้องตนเองเหมือนที่อิสราเอลอ้างก็ตาม

แต่ตะวันตกโดยมาตรฐานตามอำเภอใจก็ตีความว่าเป็นการรุกราน และเป็นอาชญากรรมสงคราม จนถึงขนาดส่งเรื่องให้ศาลโลก ICC ออกหมายจับประธานาธิบดีปูติน ฐานเป็นอาชญากรสงคราม ในขณะที่ปกป้องเนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล และกองกำลังหรือผู้บังคับ บัญชาทหารอิสราเอลที่เจตนาเข่นฆ่าประชาชนชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก มากกว่าพลเรือนยูเครนที่เสียชีวิตเพราะภัยสงครามกว่าหลาย 10 เท่า

นอกจากนี้ตะวันตกยังส่งเงินช่วยเหลือ ส่งอาวุธส่งกำลังสนับสนุนไปช่วยให้อิสราเอลเข่นฆ่าชาวปาเลนสไตน์อย่างต่อเนื่อง

ตรงกันข้ามกับรัสเซียที่ตะวันตกประกาศแซงก์ชัน งดค้าขายและห้ามประเทศอื่นค้าขายกับรัสเซีย ตลอดจนแช่แข็งทรัพย์สินของรัสเซียในประเทศตน รวมทั้งในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ

โดยบีบบังคับให้รัสเซียยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ยูเครนจากการทำสงครามกับรัสเซีย

จากข้อมูลที่มีมูลค่าทรัพย์สินของรัสเซีย ที่ถูกอายัติไว้มีมูลค่าประมาณ 300,000 ล้านยูเอสดอลลาร์ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในยุโรป ตามรายงานของพระทรวงการคลังสหรัฐฯ

ดังนั่นจึงประมาณได้ว่าทรัพย์สินรัสเซียที่ถูกอายัติในยุโรปมีมูลค่าประมาณ 200,000 ล้านยูโร ทั้งนี้ในไตรมาสแรกของปีค.ศ.2024 สินทรัพย์เหล่านี้มีรายได้ถึง 1.6 พันล้านยูโร

อนึ่งทรัพย์สินเหล่านี้จะถูกอายัติตลอดไป จนกว่ารัสเซียจะยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ยูเครน โดยถือเอาทรัพย์สินเหล่านี้เป็นหลักประกันความเสียหาย

กระนั้นฝ่ายตะวันตกยังไม่พอใจแค่นั้นคือแค่ขโมยรายได้จากสินทรัพย์ของรัสเซียเท่านั้น แต่ต้องการยึดทรัพย์ทั้งหมด โดยเล่นละครออกกฏหมายยึดทรัพย์ และไปรายงานหาความชอบธรรมจากG7ซึ่งก็เป็นพวกเดียวกัน

แล้วเงินพวกนี้ไปไหน ก็เล่นกลเอาไปเข้ากองทุนฟื้นฟูยูเครน ซึ่งกลายเป็นเงินไปใช้หนี้อาวุธสงครามของยูเครน และย้อนมาเข้ากระเป๋าเจ้าหนี้คือสหรัฐฯและยุโรป

ทางฝ่ายรัสเซียก็ตอบโต้ว่าการอายัติทรัพย์สินของตนนั้นผิดกฎหมาย โดยการกระทำดังกล่าวที่อ้างว่าเพื่อปกป้องยูเครน คือการขโมยเงินของรัสเซียโดยตรง

ประธานาธิบดีปูตินเตือนว่า การกระทำดังกล่าวจะไม่เป็นผลดีต่อใครเลย ขณะที่โฆษกประจำทำเนียบประธานาธิบดีปูติน ได้รายงานว่ารัสเซียกำลังดำเนินการทางกฎหมาย และผู้ประกอบการรัสเซียบางรายก็ประสบความสำเร็จในการดำเนินคดีในบางประเทศแล้ว

ที่สำคัญการดำเนินการเพื่อนำเอารายได้หรือทรัพย์สินรัสเซียที่ถูกขโมย โดยเฉพาะเงินทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของธนาคารชาติรัสเซีย จะสร้างความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินและระบบการเงินของประเทศเหล่านี้ในสายตาชาวโลก เช่นที่กำลังเกิดขึ้นกับบางประเทศ 

อย่างไรก็ตามทางรัสเซียก็เตรียมมาตรการที่จะตอบโต้ เช่น การยึดทรัพย์สินของต่างชาติบางประเทศที่เข้ามาลงทุนในรัสเซีย ซึ่งก็มีมูลค่ามากอยู่ และทันทีที่กฎหมายขโมยเงินผ่านและลงนาม ศาลรัสเซียโดยการนำเสนอของฝ่ายบริหาร ก็ตัดสินยึดทรัพย์ของสถาบันการเงินเจพีมอร์แกนไป4.4แสนล้านดอลล่าร์แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน

นอกจากนี้ด้วยความไม่เชื่อมั่นในระบบการเงินที่ควบคุมโดยตะวันตกนี่เอง จึงเป็นแรงผลักดันให้มีการจัดตั้งกลุ่มเศรษฐกิจกลุ่มใหม่ที่จะมีระบบของตนเอง ทั้งการแลกเปลี่ยนเงินตราการฝากเงินและการลงทุน นั่นคือกำเนิดของกลุ่มเศรษฐกิจ “BRICS” ซึ่งกำลังขยายตัวเพราะประเทศหลายประเทศขอเข้าเป็นสมาชิก

ยกตัวอย่าง เช่น เวเนซุเอลา ที่ถูกสหราชอาณาจักรยึดทองคำไว้มูลค่าตกแสนล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่าประธานาธิบดีมาดูโร ที่ผ่านการเลือกตั้ง มิได้เป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมตามกฎหมาย หรืออัฟกานิสถาน ที่ถูกยึดเงินทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศหลายหมื่นล้าน ที่อัฟกานิสถานต้องการเบิกมาใช้ฟื้นฟูประเทศจากภัยสงครามที่สหรัฐฯมาก่อไว้ โดยตะวันตกอ้างว่ารัฐบาลตาลีบันที่ชนะสงครามกับสหรัฐฯ ไม่ได้รับการรับรองเหล่านี้เป็นต้น

ในอดีตตะวันตกก็เคยฉวยโอกาส อมเงินผู้นำหลายประเทศด้วยข้อหาคอร์รัปชัน เช่น ชาร์ปาเลวี แห่งอิหร่านที่ถูกยึดอำนาจหรือประธานาธิบดีมาคอสแห่งฟิลิปปินส์ ซึ่งในความเป็นจริงเงินเหล่านั้นต้องคืนให้ประชาชนอิหร่าน หรือฟิลิปปินส์ไม่ใช่ไปยึดหรือต้องเรียกว่าขโมยอย่างหน้าตาเฉย แบบผู้ดีตะวันตกหรือแบบยิวไซออนิสต์นั่นเอง

ฟังดูแล้วนึกถึงไชล๊อก ในเรื่องเวนิสวาณิชของล้นเหล้าฯรัชกาลที่ 6 ที่ประพันธ์มาจากเรื่อง “The Merchant of Venice” ของเชคส์เปียร์นั่นทีเดียว