วันที่   16  พฤษภาคม  2567 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ที่ บช.ภ.8 พล.ต.ท.สุรพงษ์  ถนอมจิตร ผบช.ภ.8,นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี. ผวจ.นครศรีธรรมราช ,พล.ต.ต.สมชาย
ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ,พ.ต.อ.เกรียงศักดิ์ นุ่นเกลี้ยง รองผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช.,พ.ต.อ.พิศิษฐ์ วิเศษวงศ์ผกก.สส.ภ.จว.นครศรีธรรมราช,พ.ต.อ.ธีระวุฒิ เทพเลื่อน ผกก.สภ.ทุ่งสง,พ.ต.อ. พิมณรัตน์ ธรรมาธิปติ์ ผกก.ตชด.42สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส. ภ.จว.นศ. นำโดย พ.ต.ท.นพเสถียร สิงห์สุขพนธ์ รองผกก.สส.ภ.จว.นศ.,พ.ต.ท.ศุภกร พรหมทอง สว.กก.สส.ภ.จว.นศ.,พ.ต.ท.ปราโมทย์ มีนุ่น สว.กก.สส.ภ.จว.นศ., ร.ต.อ.ขยัน ทองมี,ร.ต.ท.อดุลย์ พัสดุสาร,  ด.ต.พิศิษฐ์ ครรชิต,ด.ต.วสุวัฒน์ นาคแก้ว ,จ.ส.ต.สินชัย สิทธิประการ,จ.ส.ต.ศุภชัย รสชื่นร่วมกันตรวจยึดรถยนต์,รถจักรยานยนต์ของกลาง ร้องทุกข์มอบคดีต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับ นายอภิชัย  อายุ 32  ปี  อยู่บ้าน หมูที่ 4 ตำบลนาหลวงเสน   อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมตรวจยึดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล  รวมจำนวน 14 คัน,รถจักรยานยนต์ รวมจำนวน47 คัน (รวมจำนวนรถทั้งหมด 60 คัน) รวมราคาประเมินทรัพย์สินรถที่ตรวจยึด 2,500,000บาท,คู่มือจดทะเบียนรถและสัญญาซื้อขายรถ รวมจำนวน 55 ชุด,สำเนาข้อมูลยานพาหนะ กรมการขนส่งทางบก รวมจำนวน 15 ชุดโดยกล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน ประกอบกิจการสินเชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต ,จัดตั้งโรงรับจำนำ(รถยนต์,รถจักรยานยนต์)โดยไม่ได้รับอนุญาต,ให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

 

โดย พล.ต.ท.สุรพงษ์ กล่าวถึงพฤติการณ์ กล่าวคือ อ้างถึงหนังสือ ภ.จว.นศ.ที่ 0023 (ศปน.ภ.จว.นศ.).2/2787 ลงวันที่ 9 พ.ค. 2567 ให้ระดมกวาดล้าง จับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ชุดตรวจยึดจึงได้สืบทราบว่า ที่บ้าน หมู่ที่ 4 ต.นาหลวงเสน อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช มีพฤติกรรมให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และให้นำรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์มาเป็นหลักประกัน ซึ่งจะมีรถยนต์และรถจักรยานยนต์จอดอยู่ที่บ้านจำนวนหลายคัน จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายค้นจากศาลจังหวัดทุ่งสง และได้เข้าทำการตรวจค้นตามหมายค้นศาลจังหวัดทุ่งสง

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจยึดจึงได้เดินทางไปตรวจสอบยังที่บ้านหลังดังกล่าวพบ นายอภิชัย  ฯ อยู่บริเวณหน้าบ้านและสังเกตเห็นรถยนต์และรถจักรยานยนต์จอดอยู่ในบริเวณรั้วบ้านจำนวนหลายคัน เจ้าหน้าที่ชุดตรวจยึดจึงได้สอบถาม นายอภิชัยฯ ให้การว่ารถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั้งหมดทุกคันตนได้ซื้อมาจากเจ้าของรถ เจ้าหน้าที่ชุดตรวจยึด จึงได้ทำการตรวจสอบรถยนต์ที่จอดอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าวจำนวน 1 คัน ปรากฏผู้ครอบครองชื่อนางนวรัตน์   จึงได้สอบถามทางโทรศัพท์ นางนวรัตน์ ฯ แจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจยึดว่าได้ไปกู้ยืมเงินจากนายอภิชัย  จำนวน 20,000 บาท โดยนายอภิชัย ฯ คิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 บาท ต่อเดือน หรือร้อยละ 120 บาท ต่อปี และให้นำรถยนต์คันดังกล่าวมาเป็นหลักประกัน ในการตรวจเอกสารสัญญาซื้อขายรถยนต์รถจักรยานยนต์ที่นายอภิชัยฯ ได้ทำกับเจ้าของรถแต่ละคันไม่มีการลงรายละเอียดข้อมูลไว้เลยมีเพียงแต่การลงลายมือชื่อไว้อย่างเดียวในสัญญาซื้อขาย

ซึ่งนายอภิชัย ได้ให้ผู้ที่มากู้เงินหรือมาจำนำรถถ่ายสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านโดยให้เซ็นชื่อกำกับไว้เพื่อจะได้นำเอกสารใบซื้อขายไปกรอกข้อความเพิ่มขึ้นและนำรถไปขายต่อ ซึ่งเป็นลักษณะนิติกรรมอำพรางในการกู้ยืมเงินหรือรับจำนำรถ เจ้าหน้าที่ชุดตรวจยึดจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และได้ร่วมกันตรวจยึดรถยนต์รถจักรยานยนต์ไว้พร้อมทั้งเชิญตัวนายอภิชัย ฯ พร้อมด้วยรายการที่ตรวจยึดทั้งหมดนำมาที่ สภ.ทุ่งสง  เพื่อทำบันทึกตรวจยึดพร้อมทั้งร้องทุกข์มอบคดีต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ด้านตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ฝากเตือนพี่น้องประชาชนที่นำรถยนต์ที่ตนกำลังผ่อนหรือเช่าซื้ออยู่ไปจำนำ อาจเข้าข่ายมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ เนื่องจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถคือ สถาบันการเงินเจ้าของสินเชื่อหรือไฟแนนซ์ ทำให้ท่านเป็นผู้ครอบครองเพื่อใช้สอยประโยชน์จากรถเท่านั้นแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง ซึ่งท่านจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงก็ต่อเมื่อชำระเงินครบตามสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น ทั้งนี้ปัญหาของการรับจำนำรถที่ยังติดไฟแนนซ์ก็คือหากท่านไปเจอผู้รับจำนำที่ไม่มีความซื่อสัตย์หรือมิจฉาชีพที่ตั้งใจมาหลอกลวงเพื่อเอารถของท่านไปขายต่อตั้งแต่แรก อาจขายในรูปแบบรถหลุดจำนำ แยกชิ้นส่วนขาย หรือส่งรถทั้งคันออกนอกประเทศ ท้ายที่สุดสถาบันการเงินเจ้าของกรรมสิทธิ์ จะมาไล่เบี้ยค่าเสียหายกับท่านโดยตรง ทำให้ท่านยังคงต้องผ่อนรถต่อไป ทั้งที่รถไม่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ควรเอารถที่ติดไฟแนนซ์อยู่ไปจำนำ หรือขาย นอกระบบ เพราะนอกจากท่านจะเสียรถไปแล้ว ยังอาจตกเป็นผู้ต้องหาด้วย