วันที่ 15 พ.ค.67 ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร นางดลยา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี อยู่ ม.10 ต.ปทุมวาปี อ.ส่องดาว จ.สกลนคร เข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ ดร.ชูพงศ์ คำจวง นายก อบจ.สกลนคร ว่าลูกสาวคือ  น.ส.วริสรา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี อยู่ ม.6 ต.วัฒนา อ.ส่องดาว ซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ โดยบุตรสาวไปทำงานที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.สมุทรสาคร และได้รู้จักชอบพอกับนายพิเชษฐ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 23 ปี อยู่ ม.4 ต.โนนทอง อ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ และอยู่กินฉันท์สามีภรรยา และเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2567 ได้มีปากเสียงกัน โดยพยานได้ยินเสียงดังคล้ายคนทะเลาะกันและเสียงทุบตีจนเสียงเงียบไป สุดท้ายมีรถกู้ภัยมารับตัวไปส่ง รพ.บางกระเจ้า อ.เมืองสมุทรสาคร และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ตามร่างกาย แขน ขา มีรอยฟกช้ำ ในหนังสือรับรองการตาน แพทย์ที่ทำการชันสูตรระบุว่าผู้ตายมีอาการบาดเจ็บที่บริเวณศีรษะด้วยการถูกของแข็งไม่มีคมกระทบ ซึ่งใบรับรองแพทย์วินิจฉัยระบุว่า หัวใจหยุดเต้นไม่รู้สึกตัวก่อนมาถึง รพ.ทำการฟื้นคืนชีพไม่สำเร็จ เสียชีวิตในวันที่ 8 พ.ค.2567 

โดย นางดลยา เล่าว่า ลูกสาวรักแฟนคนนี้มาก แม้ว่าจะถูกไล่หนี เตะทุบตีและกักขังเนื่องจากหึงหวงมาโดยตลอด สุดท้ายต้องมาจบชีวิตลงจากฝีมือของคนรัก ตอนที่เกิดเหตุ เมื่อลูกสาวมีอาการแน่นิ่ง แฟนสาวจึงเรียกรถกู้ภัยมารับนำส่ง รพ.โดยแจ้งว่าลูกสาวลื่นล้มในห้องน้ำ ซึ่งตนเข้าพบพนักงานสอบสวน จนเชื่อว่ามีพิรุธจึงได้คาดคั้น สุดท้ายแฟนลูกสาวก็ยอมรับว่าลงมือจริง และขอโทษตน ซึ่งตนให้ลูกชายอีกคนที่เป็นทหารเฝ้าฆาตกรไว้ เพราะไม่มีการคุมขัง มีอย่างที่ไหนพยักงานสอบสวนถามคนร้ายว่าอยากจิดคุก 7 ปี หรือ 15 ปี พนักงานสอบสวนรายนี้จึงไม่มีความโปร่งใส เพราะมีผู้ใหญ่คนหนึ่งเข้ามาเคลียร์ อาขจะมีการจ่ายใต้โต๊ะก็ได้ สุดท้ายคนร้ายก็ได้รับการประกันตัวออกมา

"ตอนเข้าไปในที่เกิดเหตุวันแรก ตนว่าที่นี่คือแหล่งขายยาเสพติด เพราะกลิ่นที่ได้สัมผัสรู้สึกได้ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่มีเงินเดือนแค่ 9,000 บาท จะสามารถส่งเงินให้ญาติทีละหลายหมื่นทุกอย่างตนมีหลักฐานหมด เพราะพนักงานสอบสวนให้ไปสืบเอาเอง จึงได้ทราบตื้นลึกหนาบาง ก็สงสัยว่าคดีอาญาฆ่าคนตาย แต่ให้ญาติคนตายไปสืบหาหลักฐานเพิ่มเติมเอง ทำยังกับว่าเป็นคดีฉ้อโกง รู้สึกคาใจมาก และเรื่องนี้ลูกจะต้องไม่ตายฟรี จะต้องได้รับความเป็นธรรม" นางดลยา กล่าว

อย่างไรก็ตาม ดร.ชูพงศ์ ได้ให้ นิติกรของ อบจ.สกลนคร ให้ความช่วยเหลืออีกทาง