ปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถือเป็นสิ่งที่ช่วยประหยัดเวลาทำให้หลายอุตสาหกรรมนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics), การเจาะลูกค้าให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย รวมไปถึงการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงโจทย์มากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับ บริษัท สตาร์ มันนี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SM ผู้นำในการให้บริการสินเชื่อรายย่อยแบบมีหลักประกัน รถยนต์ รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ สินเชื่อบ้านและที่ดิน รวมถึงจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งในรูปแบบเงินสด และเงินผ่อน จัดอยู่ในอุตสาหกรรม Non-Bank มีการดำเนินธุรกิจอย่างแข็งแกร่งมากกว่า 30 ปี พิสูจน์จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา แม้จะต้องเผชิญสถานการณ์ COVID-19 แต่บริษัทฯ ก็ยังสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

โดย สตาร์ มันนี่ ได้นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขายและการบริการ เนื่องจากมีสาขารวมมากกว่า 90 สาขา และเกือบทั้งหมดอยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ถือเป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญมีเม็ดเงินการลงทุนจากหลายอุตสาหกรรมรวมกันมากกว่าแสนล้านบาท และการลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งจากภาครัฐ เอกชน ทั้งในและต่างประเทศ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV),  ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า จำพวกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น โดยผู้ประกอบการที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่แห่งนี้ถือเป็นแนวหน้าชั้นนำของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งเมื่อมีการลงทุนที่มากขึ้นจำนวนกลุ่มคนแรงงานก็จะเพิ่มขึ้น จึงทำให้มีการนำระบบเทคโนโลยีด้าน AI เข้ามาประยุกต์ใช้ในการขยายธุรกิจผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล เจาะกลุ่มลูกค้าได้ตรงจุด และรองรับการให้บริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึง 

สำหรับในปี 2567 สตาร์ มันนี่ เน้นกลยุทธ์ใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนการดำเนินงานของภาคธุรกิจเป็นหลัก โดยจะนำ Data Analytic มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและพัฒนาระบบให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า รวมไปถึงคุณสมบัติต่างๆอันพึงมีอย่างเช่น ข้อมูลส่วนตัวของผู้ขอสินเชื่อ เพื่อประเมินความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งการนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้จะช่วยเพิ่มคุณภาพหนี้ ทำให้เกิดหนี้เสีย หรือ NPL น้อยที่สุด

ทั้งนี้ การที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยควบคุมคุณภาพหนี้ จะช่วยผลักดันแผนการตลาดของสตาร์ มันนี่ มุ่งเน้นสินเชื่อเช่าซื้อจากการขายสินค้ามากขึ้น โดยเฉพาะหมวดสินค้าโทรศัพท์มือถือ ที่ถูกจัดเป็นกลุ่มสินค้า High Value ที่มีความต้องการสูงมากขึ้นกว่าอดีต ตามเทรนด์สมัยใหม่ และการพัฒนาของเทคโนโลยีที่แข่งขันกันของแต่ละค่าย นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังมีแผนพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถใช้กับสินค้าประเภทอื่นๆร่วมด้วย เพื่อเพิ่มคุณภาพในการชำระหนี้ของสินเชื่อเช่าซื้อให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อมีการจัดการคุมคุณภาพหนี้อย่างเหมาะสม จะส่งผลให้ สตาร์ มันนี่ มี NPL ที่ต่ำลง

ขณะที่ล่าสุด สตาร์มันนี่ จับมือเป็นพันธมิตร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ซึ่งช่วยสนับสนุนให้ สตาร์ มันนี่ มีบริการสินเชื่อที่ครบวงจร และครอบคลุมมากกว่าเดิม โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมกันขยายตลาดในกลุ่มอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ซึ่ง เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จะทำหน้าที่พัฒนาโครงการโซลาร์เซลล์ ส่วนสตาร์ มันนี่ จะเป็นผู้สนับสนุนสินเชื่อให้กับโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถือเป็นการสร้างผลตอบแทนให้ทั้งสองฝ่าย ซึ่งจากการที่ สตาร์ มันนี่ มีความชำนาญการในตลาดภาคตะวันออก จะช่วยให้การขยายธุรกิจ Solar Rooftop เป็นไปอย่างรวดเร็ว และเติบโตอย่างดี

ทั้งนี้ด้วยการพัฒนากลยุทธ์ในด้านต่างๆเพื่อนำมาใช้ในการบริหารจัดการองค์กร ถือเป็นการสร้างรากฐานธุรกิจของ สตาร์ มันนี่ ให้แข็งแกร่งจนกลายเป็นผู้นำสินเชื่อเช่าซื้อทางฝั่งภาคตะวันออก ยิ่งเมื่อมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาต่อยอด และเป็นเครื่องมือหลักในการคุม NPL เพื่อเพิ่มคุณภาพหนี้ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งการขาย ให้บริการสินเชื่อ และการบริการที่ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการหาพันธมิตรที่สามารถเชื่อมโยงธุรกิจไปกับเทรนด์ใหม่ๆ ที่กำลังเป็นที่น่าสนใจในปัจจุบัน นับได้ว่าเป็นการต่อยอดธุรกิจที่จะสามารถสร้างโครงข่ายให้แข็งแกร่ง มั่นคง และนำมาซึ่งรายได้ที่เติบโตและยั่งยืนให้กับ สตาร์ มันนี่ ในระยะยาว เรียกได้ว่า ครั้งนี้ สตาร์ มันนี่ เดินมาถูกทางแล้วจริงๆ