วันที่ 15 พฤษภาคม 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานแถลงข่าว”การยกระดับค่าป่วยการ สู่ SMART อสม.” โดยมี นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายกิตติกร โล่ห์สุนทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สามารถ ถิระศักดิ์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายไพศาล หงส์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ผู้บริหารกระทรวง และ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เข้าร่วม ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข 

โดย นายแพทย์โอภาส กล่าวรายงานว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ถือเป็นกลไกภาคประชาชนที่สำคัญของระบบการสาธารณสุขไทย ดำเนินการเคียงคู่กับกระทรวงสาธารณสุข มาเกือบ 50 ปี ด้วยแนวคิดที่มุ่งหวังจะแก้ปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานอย่างครอบคลุม ทั่วถึงตามหลัก Universal Health Coverage ซึ่งลำพังเพียงบุคคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอาจจะไม่เพียงพอ จึงถือกำเนิด อสม.ขึ้นในปี 2521 จนถึงปัจจุบันมี อสม. จำนวนกว่า 1,070,000 คน ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ยกระดับให้ อสม. ทุกคน เป็น “Smart อสม.” โดยถ่ายทอดเทคโนโลยีดิจิทัลให้กับ อสม. ผ่านการใช้แอปพลิเคชัน Smart อสม. ซึ่งจะเป็นเครื่องมือช่วยให้อสม. สามารถทำงานได้ง่ายขึ้น ติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว รับข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที และรายงานผลการให้บริการสุขภาพขั้นพื้นฐานในพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ประเทศไทย เป็นที่ยอมรับจากนานาชาติว่า เป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะกลไกของพี่น้อง อสม. หรือ อาสาสมัคร 
สาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จำนวนกว่า 1,070,000 คน เป็นกำลังสำคัญเข้ามามีส่วนร่วม ช่วยเหลือประชาชนให้มีสุขภาพดีขึ้น ซึ่งเมื่อรัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้ามาทำหน้าที่ ก็มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขของประเทศให้มีคุณภาพ มีความยั่งยืน โดย ปี 2552 คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบ โครงการส่งเสริม อสม.เชิงรุก โดยสนับสนุนเงินค่าป่วยการ สำหรับ อสม. คนละ 600 บาทต่อเดือน เพื่อส่งเสริมบทบาท การทำงาน ของ อสม.

พร้อมกันนี้ นายสมศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า  ในปี 2561 คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้เพิ่มค่าป่วยการ อสม. ในการปฏิบัติหน้าที่เป็นเดือนละ 1,000 บาทต่อคน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในขณะนั้น และในปี 2567 อสม. มีภาระงานที่เพิ่มมากขึ้น เช่น การดูแลคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุ การติดตามหญิงตั้งครรภ์เข้าถึงยาเม็ดเสริม ไอโอดีน และการติดตามผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติดในชุมชน เป็นต้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบให้เพิ่มเงินค่าป่วยการให้กับ อสม. เป็น 2,000 บาท เพื่อส่งเสริม สนับสนุนบทบาทของ อสม. ในการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิขั้นพื้นฐานในชุมชน รวมทั้งเป็นการสร้างขวัญ กำลังใจให้แก่ อสม. ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ 

ซึ่ง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ อสม. ที่ปฏิบัติงาน ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2566 – มีนาคม 2567 เป็นระยะเวลา 6 เดือน จะได้รับโอนเงินค่าป่วยการตกเบิกเข้าบัญชีธนาคาร ของพี่น้อง อสม.  จำนวน 6,000 บาท และได้รับโอนเงินค่าป่วยการสำหรับเดือนเมษายน 2567 อีก 2,000 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 8,000 บาท และในเดือนต่อไปๆ อสม. ก็จะได้รับ คนละ 2,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายยกระดับ อสม. รวมถึงการพัฒนาระบบอาสาสมัครสาธารณสุข ให้มีความยั่งยืน โดยการออกพระราชบัญญัติ อสม. เพื่อรับรองสถานภาพ การพัฒนาศักยภาพ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ของพี่น้อง อสม. ให้มีความเหมาะสม พร้อมที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการสุขภาพของชุมชน และหนุนเสริมนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบาย ยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว 

นอกจากนี้ ภายหลังแถลงข่าว นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า วันนี้มาแจ้งข่าวดีให้กับพี่น้อง อสม.ทั่วประเทศว่าจะได้รับค่าป่วยการ พร้อมเงินตกเบิกรวมเป็น 8,000 บาท ซึ่งตนต้องขอขอบคุณ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ดำเนินการตั้งงบประมาณช่วยเหลือ อสม.มาอย่างต่อเนื่อง เพราะหากไม่ตั้งงบประมาณให้ ก็จะไม่ได้ ดังนั้น ตนจึงคิดแนวทางสร้างความมั่นคงให้กับ อสม. ด้วยการเสนอ พ.ร.บ.อสม. เพื่อทำให้เกิดความยั่งยืน พร้อมวางแนวทางการยกระดับอัพเกรด อสม. ที่มีความเหมาะสม ให้สามารถเป็นผู้ช่วยพยาบาลได้ โดยตนคาดว่า จะใช้ระยะเวลาทำกฎหมายประมาณ 1 ปีงบประมาณ 

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหายาบ้า นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันที่ 17 พ.ค.นี้ จะเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์แล้ว และจะนำความคิดเห็นมาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งตนขอเน้นย้ำว่า 1 เม็ด ก็มีความผิด และจะถูกขยายผลยึดอายัดทรัพย์ด้วย ดังนั้น ตนขอฝาก อสม.ที่มีทั่วประเทศ ช่วยกันเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแส เพื่อรับรางวัลนำจับ 5% ด้วย