ภูมิธรรมขู่ฟ้อง! ยันข้าวมีคุณภาพ ขอหยุดดราม่า พูดเรื่อยเปื่อย เตรียมให้หน่วยงานเกี่ยวข้องฟ้อง ถ้ายังไม่หยุด ยินดีให้จูงมือไปพิสูจน์ ด้าน เรืองไกร ร่อนหนังสือ ร้อง ป.ป.ช. สอบกราวรูดใครเอี่ยวข้าว 10 ปี มีความผิดฐานลักทรัพย์ หรือไม่
    
 ที่อาคารสุเมธตันติเวชกุล มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี อ.เมือง จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 14 พ.ค.67 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการตรวจสอบคุณภาพข้าว ว่า เมื่อวานนี้ (13 พฤษภาคม) ตนโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงความในใจให้สาธารณะชนได้รับรู้แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนพิสูจน์แล้วในขั้นต้นก่อนนำข้าวมาประมูล ซึ่งเป็นการพิสูจน์ที่โปร่งใสที่ตนพูดเช่นนี้เพราะไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในกระบวนการ และเมื่อคืนนี้ที่ผ่านมานพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ก็ระบุว่าข้าวดังกล่าวไม่มีตรารับรอง ขอให้ท่านไปดูภาพที่สื่อมวลชนถ่ายไว้ เราไม่มีอะไรต้องปิดบัง
    
 "ผมอยากให้คนที่วิจารณ์ วิจารณ์โดยตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง ไม่ใช่นั่งคิดเองเหมือนนิยายแล้วนำมาพูด ซึ่งข้าวถือเป็นสินทรัพย์ของประเทศไทย การที่จู่ๆ มาด้อยค่าโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงเท่ากับทำลายเศรษฐกิจ และความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ยืนยันว่ากระบวนการตรวจสอบโปร่งใสที่สุด สื่อมวลชนเป็นพยานได้ ผมไม่ได้ไปย้อมแมวขาย ฉะนั้น ข้าวจึงไม่จำเป็นต้องหอมเหมือนข้าวใหม่" นายภูมิธรรม กล่าว
   
  นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า คนที่จำหน่ายข้าวทั้งเจ้าของโรงสี ผู้ส่งออกทั้งหมด มูลค่าธุรกิจของพวกเขาเป็นหมื่นๆ ล้าน จะมานั่งโกหกเช่นนี้ให้ธุรกิจของเขาพังหรือ แล้วคนที่ออกมาพูดก็ไม่มีความรู้ เท่ากับการให้ข้อมูลเท็จในคอมพิวเตอร์ ซึ่งผิดกฏหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คอมพิวเตอร์ แต่ตนคิดว่าเจตนาของพวกเขาคงไม่มีอะไร ตนจึงยังไม่ฟ้องร้อง แต่หากยังไม่หยุดทำเช่นนี้ ตนคิดว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของตน คงต้องไปจัดการให้เหมาะสม ตนไปตรวจข้าวตามสภาพ และไม่คิดว่าต้องเป็นรัฐมนตรีฟอกข้าวเน่าข้าวเสีย หากข้าวออกดีก็ขายราคาดี แต่หากข้าวเน่าจริงก็ต้องขายกันตามสภาพ
    
 นายภูมิธรรม กล่าวด้วยว่า ตนไม่มีอะไรต้องปิดบัง ซึ่งไม่ใช่กระบวนการแน่นอน ซึ่งเท่าที่ตนได้ทดลองทานเบื้องต้น เป็นข้าวที่ผู้ส่งออกและเจ้าของโรงสี บอกกับตนว่าสามารถนำมารับประทานและสามารถนำไปขัดสีได้ ซึ่งสารอลูมิเนียมฟอสไฟด์ ที่มีไว้สำหรับรมข้าว ไม่ใช่ไปสารที่คนวิจารณ์นำมาพูดกันเลอะเทอะ ไม่ได้มีผลกระทบต่อชีวิตและร่างกายมนุษย์ ซึ่งสารเคมีจะหลุดออกไปในระหว่างกระบวนการการสีข้าว
    
 "เราขายข้าวในโรงสีให้ได้ราคาดี ให้เกษตรกรมีรายได้ให้รัฐบาลมีเงินเข้าคลัง ไม่ดีหรือครับ แล้วที่พูดกันไปเรื่อยเปื่อย เอาจินตนาการที่คิดไปเช่นนั้นเช่นนี้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม มันเป็นการทำลายข้าวไทย เป็นการทำลายประเทศ ท่านสะใจหรือครับ คุณหมอวรงค์และอีกหลายคนอยากทำแบบนี้หรือครับ มาจูงมือผมแล้วไปพิสูจน์ หากไม่ใช่แบบที่พวกคุณกล่าว พวกคุณต้องรับผิดชอบมากกว่านี้ ผมอยากให้เรื่องนี้ยุติได้แล้ว เพราะกระบวนการประมูลหลังจากนี้ไม่เกี่ยวกับผม" นายภูมิธรรม กล่าว
   
  เมื่อถามว่า หลังจากนี้กระทรวงพาณิชย์จะไม่ส่งเข้าไปตรวจสอบกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้วใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า กระบวนการตรวจสอบข้าวจะเกิดขึ้นหลังประมูล แต่หากมีปัญหามากจนถึงขั้นต้องไปตรวจสอบ ตนก็ไม่ขัดข้องสามารถนำไปยื่นตรวจสอบได้ แต่ไม่ใช่จู่ๆ จะเอาข้าวไหนก็ไม่รู้ มาเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ ขอให้นำเข้าเข้าสู่กระบวนการมาตรฐานในการตรวจสอบ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ตรวจสอบ ไม่ใช่ให้คนนั้นคนนี้มาตรวจสอบ นั่นไม่ใช่หน้าที่ สามารถพาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบข้าวได้ทุกที่เลย ตนพร้อมทั้งหมด ขอให้นำมาพูดกันตรงๆ อย่านำไปพูดเรื่อยเปื่อยพร่ำเพรื่อ จนตอนนี้ศักดิ์ศรีข้าวไทยจะไม่เหลืออยู่แล้ว สะใจหรือ อยากให้ยุติเรื่องนี้ เพราะตนมีเรื่องที่ต้องไปจัดการอีกมาก วันนี้ตนเพียงต้องการจะปิดตำนานเรื่องนี้ และให้ดำเนินไปในสิ่งที่ควรจะเป็น
   
  "ผมกินอยู่ ข้าวก็ยังสามารถกินได้ ซึ่งไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แต่สื่อมวลชนที่ไปด้วยก็สามารถกินข้าวนั้นได้ แล้วก็ถูกกล่าวหาว่าทำไมไปสร้างความชอบธรรมให้นักการเมือง ใช้สมองคิดบ้างหรือเปล่าครับที่พูดออกมา" นายภูมิธรรม กล่าว
    
 เมื่อถามว่า นอกจากจะมีข้อกังขาในเรื่องของคุณภาพข้าวแล้วยังมีข้อกังขาที่นำเข้าไปให้หน่วยงานอื่นรับประทาน นายภูมิธรรม กล่าวว่า มีเพียงแค่สองถุงที่นำไปให้นายสรยุทธ์ สุทัศน์จินดา และนายกิตติ สิงหาปัด ซึ่งตนเห็นว่าเป็นสื่อมวลชนจึงให้รับประทานเพื่อที่จะได้มีความเข้าใจในเรื่องข้าว เพื่อที่จะไม่ได้ฟังจากผู้อื่นแล้วนำไปวิจารณ์ ซึ่งตนนำเข้าออกมาตามกระบวนการอย่างถูกต้อง
   
  "ผมไม่ได้มีปัญหาในการพิสูจน์ ผมพร้อมอยู่แล้ว และไม่ได้ปกป้องข้าวเน่า ย้ำว่าหากข้าวเน่าก็จะขายตามราคาข้าวเน่า แต่ผมไปกินแล้วมันดี ซึ่งหากข้าวที่ตนกินสามารถนำไปขายได้ในราคา 18-20 บาท จะให้ไปขายในราคา 5 บาท แบบที่เคยขายมันได้หรือ ทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้โมโห แต่พูดจากอารมณ์และใจจริง" นายภูมิธรรม กล่าว
    
 เมื่อถามถึง กระบวนการการประมูลข้าวที่จะเกิดขึ้นภายในสิ้นเดือนนี้ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนให้กรมการคลังสินค้าเตรียมการเปิดประมูลแล้ว และตนจะเปิดให้ประมูลทั่วไปทั้งหมด แต่หากไม่มีคนประมูลเลย ก็ค่อยมาว่ากัน อย่าไปคิดว่าเขานำข้าวไปหลอกขายให้ต่างประเทศ
    
 อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเดินเข้าที่ประชุม นายภูมิธรรม ยังเปิดเผยด้วยว่า เตรียมทำหนังสือถึงนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ตรวจสอบข้าว 10 ปี ในโกดังขององค์การคลังสินค้ากระทรวงพาณิชย์เร็วๆนี้
    
 ด้าน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า ได้ติดตามข่าวการไปเปิดคลังเห็นข้าวหอมมะลิ ปี 2566/2567 และนำออกมาหุงในหม้อหุงข้าวไฟฟ้าหลายอันให้เป็นข้าวสุกแล้วแบ่งกินหลายคน พร้อมถ่ายคลิปโชว์ไว้เป็นหลักฐานและลงข่าวอย่างต่อเนื่องด้วย หลังจากรวบรวมข้อเท็จจริงมาหลายวันเพื่อจะทราบว่า มีใครร่วมกระทำการดังกล่าวบ้าง ในฐานะเคยอยู่ สตง. ตรวจสอบบัญชีรัฐวิสาหกิจ จากข้อเท็จจริงตามเฟซบุ๊ก ตามข่าว และตามคลิปต่าง ๆ ก็แปลกใจว่า การเอาข้าวสารซึ่งเป็นสินค้าคงเหลือในงบการเงินของ อคส. ทำได้อย่างไร และอาศัยหน้าที่และอำนาจใดในการนำข้าวสารของ อคส. ออกมาหุงกินและแบ่งตักใส่ถุงพลาสติกพร้อมเขียนฝากให้พิธีกรหลายรายนำไปหุงกินโชว์ออกในรายการอีกด้วย
    
 นายเรืองไกร กล่าวว่า ข้าวสารของ อคส. ดังกล่าว ถือเป็นของหลวง ที่รอการประมูลขาย ดังนั้น การนำออกมาหุงเป็นข้าวสาร อาจเข้าข่ายทำให้สินค้าขาดไปจากบัญชีทั้งปริมาณและมูลค่าทางบัญชี  แม้จะเป็นจำนวนเงินไม่มาก แต่หากดูประมวลฎหมายอาญาและแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ก็มีประเด็นที่ควรตรวจสอบว่า การกระทำดังกล่าวจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะ 12 ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ หรือไม่ 
    
 นายเรืองไกร กล่าวว่า เมื่อตรวจหาหลักฐานเบื้องต้น จะพบข้อเท็จจริงที่อยู่ในข่าว ในคลิป ในเฟซบุ๊ก จำนวนมาก อันเพียงพอแก่การนำข้อเท็จจริงไปเป็นพยานหลักฐานเพื่อส่งให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบต่อไปได้ว่า มีรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ของรัฐ พิธีกร รายใดที่เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวโดยเข้าข่ายเป็นความผิดอาญา มาตราต่าง ๆ หรือไม่ รวมทั้งนายกรัฐมนตรีมีส่วนร่วมในการสนับสนุน หรือไม่
   
  นายเรืองไกร กล่าวว่า ในวันนี้ ตนจึงส่งหนังสือไปถึง ป.ป.ช. ทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่ามี รัฐมนตรี ข้าราชการ พิธีกร หรือผู้ใดที่เกี่ยวข้อง ที่มีการร่วมกันในลักษณะตัวการและผู้สนับสนุนซึ่งไม่มีหน้าที่และอำนาจในการนำข้าวสารของ อคส. ซึ่งเป็นของหลวงออกมาจากคลังได้โดยชอบ และยังนำมาหุงเป็นข้าวสุกและกินกับอาหาร เช่น กระเพรา ไข่เจียว เพื่อโชว์สื่อต่าง ๆ และยังมีภาพการนำข้าวสารมาตักใส่ถุงพลาสติกพร้อมเขียนด้วยลายมือลงชื่อรัฐมนตรีเพื่อให้นำไปฝากพิธีกรตามรายการต่าง ๆ อีกด้วย ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงควรตรวจสอบต่อไปว่า การนำข้าวสารของ อคส. ซึ่งเป็นของหลวงออกมาจากคลังนั้น จะเข้าข่ายกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะ 12 ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ หรือไม่ ความผิดฐานตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด 2 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือไม่  ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด 6 ตัวการและผู้สนับสนุน หรือไม่ ความผิดฐานรับของโจร ตาม ป.อาญา มาตรา 357 ด้วย หรือไม่
    
 นายเรืองไกร กล่าวว่า ที่บ้านตนเองยังมีข้าวหมอมะลิคัดพิเศษถุงละ 5 Kg ของจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใสปิดสนิท เก็บมาประมาณ 2 ปี วางไว้ในบ้าน เมื่อเอาออกมาดูและถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์ประมาณ 1 นาทีในวันนี้ พบว่า ข้าวยังไม่เหลืองมาก มีมอดเยอะพอควรเดินไปมาน่ารักดี จึงน่าจะยังกินได้ ถ้าทางรัฐบาลอยากได้ไปเปรียบเทียบเป็นตัวอย่างกับข้าวสารของ อคส. ที่เก็บมา 10 ปี ขอให้รีบติดต่อมาเลย ตนจะเอาไปให้ด้วยตนเอง จะได้เห็นมอดตัวเป็น ๆ เดินเล่นอยู่ในถุงข้าวสาร
   
  ส่วน นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า คนที่ออกมาพูดเรื่องข้าวค้างโกดัง 10 ปี ไม่มีความรู้ เท่ากับการให้ข้อมูลเท็จในคอมพิวเตอร์ ซึ่งผิดกฎหมายพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ตนในฐานะคนที่ออกมาพูดเรื่องนี้คนแรกๆ ก็ต้องบอกเพียงสั้นๆ ว่า ถ้าคิดว่าการตรวจสอบท้วงติงเรื่องข้าวค้างโกดัง 10 ปี ด้วยความห่วงใยสุขภาพประชาชน และเรียกร้องให้มีการตรวจสอบคุณภาพข้าวด้วยวิธีการที่เป็นมาตรฐาน แล้วเป็นความผิดตาม พรบ คอมพิวเตอร์ ก็ให้ฟ้องได้เลย ไม่ได้กังวล แต่อย่าไปฟ้องประชาชนที่ได้ติติงท้วงติงด้วยก็แล้วกัน ส่วนตัวไม่ต้องเสียค่าทนายความและพร้อมว่าความให้กับผู้ที่ออกมาตรวจสอบด้วยความสุจริตเพื่อบ้านเมือง และการที่บอกว่าคนที่พูดทำลายประเทศไม่พอหรือไง ต้องบอกกลับว่าคนที่ไม่รับฟังเสียงของประชาชน ทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวต่างหากที่จะทำลายประเทศไม่พอหรือไง
      
 "ฝ่ายค้านจะตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป เป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน รัฐบาลพอชี้แจงไม่ได้ก็พูดเป็นอยู่ไม่กี่คำ เช่น การท้วงติงตรวจสอบเป็นวาทกรรม เป็นการจินตนาการเอาเอง และขณะนี้หนักสุดคือไปถึงขั้นฟ้องร้องเอาผิด ก็ใช้อำนาจให้เต็มที่"นายราเมศ กล่าว