“แม็คกรุ๊ป” โชว์ผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง 3 ไตรมาสรวด งวด 9 เดือน ปีบัญชี 67 โกยรายได้ 3,178 ล้านบาท มีกำไร 577 ล้าน เดินหน้าทำสถิติสูงสุด
นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปีบัญชี 2567 (1 ก.ค. 2566 - 31 มี.ค. 2567) ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 525 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 17.9% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับสูง ที่ระดับ 64.1% โดยในงวด 9 เดือนบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้า 3,178 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 346 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“รายได้และกำไรของบริษัทฯ ในงวด 9 เดือน เติบโตแข็งแกร่ง ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง ผลจากกำลังซื้อทั้งออฟไลน์ และการขยายสาขา รวมไปถึงการเติบโตของช่องทางออนไลน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แม็คกรุ๊ป กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปีบัญชี 2567 (1 ม.ค.67-31 มี.ค.67) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 163 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 16.4% โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้ารวม 995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า แม้ว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไม่เป็นตามคาดหมาย และยังมีความกังวลต่อสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลและขบวนการฮามาส ปัญหาภัยแล้ง และ PM 2.5 ทำให้ผู้บริโภคไม่มั่นใจต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่การที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการปรับลดค่าไฟ ลดราคาน้ำมันดีเซล การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวหลังจากการเปิดประเทศ รวมไปถึงการเปิดฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน คาซัคสถาน อินเดีย และไต้หวัน ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีขึ้น ช่วยสนับสนุนให้ยอดขายของบริษัทฯ รวมไปถึงการเปิดช่องทางการขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะ Mc Outlet ณ สิ้นงวด 9 เดือน มีสาขาแล้วทั้งสิ้น 129 สาขา
ทั้งนี้ในไตรมาส 3 ปีบัญชี 2567 มีสัดส่วนรายได้จากช่องทางร้านค้าปลีกของตนเอง (Free-standing Shop) ซึ่งเป็นช่องทางหลัก โดยมีสัดส่วนรายได้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 70% จากเดิม 65% โดยมีช่องทางร้านค้าปลีกของตนเอง 421 สาขาเพิ่มขึ้น 18 สาขา จากสิ้นปีบัญชี 2566 อยู่ที่ 403 สาขา และมีรายได้ 693 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69 ล้านบาท หรือ 11% ขณะที่งวด 9 เดือน มีรายได้ 2,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 312 ล้านบาท หรือ 16.8%, ร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) ที่มีสัดส่วน 9% มีรายได้ 90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% ขณะที่งวด 9 เดือน มีรายได้จากการขาย 319 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79 ล้านบาทหรือ 33% ขณะที่ช่องทางขายผ่านห้างสรรพสินค้า (Department Store) มีสัดส่วน 19 % มีรายได้ 187 ล้านบาท ลดลง 12.9% ขณะที่งวด 9 เดือน มีรายได้จากการขาย 608 ล้านบาท ลดลง 32 ล้านบาท หรือ 5%
นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวอีกว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้นและทำสถิติสูงสุด ฝ่าทุกๆวิกฤตที่เกิดขึ้นมาได้ จากการที่บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์การทำธุรกิจที่ชัดเจน และยังคงเดินหน้าดำเนินงานตามแผน การควบคุมค่าใช้จ่ายแบบ 360 องศา รวมไปถึงการจับมือกับพันธมิตรในการทำธุรกิจ และการนำเสนอคอลเลกชั่นใหม่ เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
โดย ณ วันที่ 31 มี.ค.67 กลุ่มบริษัทฯ มีส่วนผู้ถือหุ้น 3,613 ล้านบาท ลดลง 109 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 30 มิ.ย. 2566 ที่มีส่วนของผู้ถือหุ้น 3,721 ล้านบาท จากการจ่ายเงินปันผลออกไปให้กับผู้ถือหุ้น 681 ล้านบาท ขณะที่เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้น อยู่ที่ 1,487 ล้านบาท ลดลง 240 ล้านบาท เนื่องจากมีการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปีบัญชี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเกือบ 100% ของกำไรสุทธิ และยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผลในสัดส่วนเกือบ 100% ของกำไรสุทธิต่อเนื่อง รวมไปถึงการลงทุนในการขยายจุดขาย และการจัดเตรียมวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมการผลิตสินค้าจำหน่ายต่อไป