วันที่ 12 พ.ค. 2567 เมื่อเวลา 14.00 น. นายเศรษฐา  ทวีสิน  นายกรัฐมนตรี และคณะเดินทางมายังวัดศรีสุริยวงศารามวรวิหาร  ตำบลหน้าเมืองอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี กราบพระประธานในพระอุโอสถ ก่อนที่ครูพระครูวรกิจโกศล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดฯจะเล่าประวัติและนำเยี่ยมชมความสวยงามภายในพระอุโอสถที่มีอายุยาวนานถึง 150 ปี 

จากนั้นนายกฯ พร้อมคณะ เข้ากราบนมัสการพระพรหมมงคลวัชราจารย์ (พระอนุชาในสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก) ที่หอสมุดของวัด เมื่อมาถึงนายกฯได้เปิดกรวยถวายเทียนแพ ผ้าไตร ไทยธรรม   

ซึ่งพระพรหมมงคลวัชราจารย์ ได้มอบพระประธานจำลอง ขนาดหน้าตัก 5 นิ้วให้กับนายกรัฐมนตรีพร้อมสนทนาธรรม โดยพระพรหมมงคลวัชราจารย์ ได้กล่าวกับว่านายกรัฐมนตรีว่า “เหนื่อยหน่อยนะ”  

ขณะที่นายกฯกล่าวว่าหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่ราชบุรีก็จะเดินทางต่อไปที่จังหวัดเพชรบุรี และคืนนี้จะนอนพักค้างที่จังหวัดเพชรบุรี 

พระพรหมมงคลวัชราจารย์ จึงกล่าวย้ำว่าเหนื่อยหน่อยนะ  นายกฯจึงตอบกลับว่า “ไม่ครับ โอเคครับ ได้ครับ ได้อยู่ครับ ”

พระพรหมมงคลวัชราจารย์  กล่าวต่อว่าอาตมาทราบข่าวว่าจะเดินทางมาที่วัดก็ดีใจ ที่นายกรัฐมนตรีมาเยี่ยมวัด 

ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ในราชบุรีไปมาหลายที่ด้วยกัน โดยเฉพาะการมารับฟังปัญหาในพื้นที่ของราชบุรี ทั้งเรื่องน้ำ การเกษตร และการท่องเที่ยว และพื้นที่ทำกินของประชาชน

พระพรหมมงคลวัชราจารย์  กล่าวว่าปีนี้ร้อนจัดมาก 

นายกรัฐมนตรี กล่าวตอบว่า ความจริงแล้วกาญจนบุรีและราชบุรีเป็นจังหวัดที่โชคดีมากที่มีแหล่งน้ำเยอะ เพียงแต่ต้องมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ  ซึ่งดีกว่าหลายจังหวัดที่ไม่มีน้ำเลย อีกทั้งมีพืชสวน พืชไร่จำนวนมาก โดยเฉพาะมะพร้าวน้ำหอมที่มีมูลค่าส่งออกจำนวนมาก  อย่างไรก็ตามปีหน้าเรื่องการบริหารจัดการน้ำต้องทำให้ดีมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ และเมื่อวานนี้ที่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี  ก็เห็นปริมาณน้ำโดยเฉพาะเขตปริมาณน้ำโดยเฉพาะที่เขื่อนวชิราลงกรณ์ ปริมาณน้ำลดลงไปมาก และแห้งมาก มองเห็นต่อไม้เลย  แต่ถือว่าโชคดีที่กรมชลประทานบริหารจัดการได้ดีพอประมาณ เข้าใจว่าอีกหนึ่งถึงสองเดือนก็จะเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว ก็คงไม่มีปัญหาเรื่องแล้ง 

พระพรหมมงคลวัชราจารย์  จึงกล่าวว่าหากทุกเขื่อนสามารถบริหารจัดการน้ำได้และกักเก็บน้ำไว้ เกษตรกรก็จะมีน้ำใช้อย่างพอเพียง

ด้านนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันมีการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมเยอะ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญนอกจากการใช้อุปโภคบริโภคแล้ว ยังต้องนำมาใช้ในการรักษาระบบนิเวศ  รวมทั้งหมดใช้ในระบบอุตสาหกรรม ทำให้บางช่วงมีปัญหาระหว่างภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร ยิ่งประเทศไทยจะมีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มาตั้งมากขึ้น ต้องมีการบริหารจัดการน้ำให้ดี ทั้งเรื่องการหาแหล่งน้ำ คูคลองและระบบการทดน้ำ และยอมรับว่าไม่เคยคิดว่าภาคอุตสาหกรรมจะมีความต้องการใช้น้ำเยอะขนาดนี้  

และจากการลงพื้นที่ก็ทำให้เข้าใจว่าหากประเทศไทยไม่ท่วมไม่แล้ง จะทำให้เรามีรายได้สูงขึ้นมาก เพราะรัฐบาลต้องชดเชยให้กับเกษตรกร และหากเราทำได้ ผลผลิตภาคการเกษตรก็จะสูงขึ้นมาก ดังนั้นการบริหารจัดการน้ำจึงเป็นความท้าทายของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงต้องบริหารจัดการน้ำให้ดี แบ่งสรรปันส่วนให้เหมาะสม 

“ ผมเชื่อว่าหน่วยงานข้าราชการเข้าใจในประเด็น เป็นอย่างดี  โดยเฉพาะกรมชลประทานว่าถ้าไม่บริหารจัดการให้ดี ก็จะเป็นปัญหา ยกตัวอย่างเช่นจังหวัดอุบลราชธานีทุกปี ช่วงเดือนกันยายน -ตุลาคม ก็จะท่วมสูง หลายสัปดาห์ แต่ปีที่แล้วเราได้เข้าไปบริหารจัดการ ไปคุยกับกรมชลประทาน ลงพื้นที่ไปบริหารจัดการเรื่องน้ำ ทำให้ปีนี้อุบลฯน้ำไม่ท่วมเลย แสดงว่าทั้งหมดขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องการขุดลอกคูคลอง การสร้างแหล่งน้ำ ซึ่งก็ต้องใช้งบประมาณ เราจึงพยายามจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ เพราะเกษตรกรมีหลาย 10 ล้านคน แต่หลายอย่างขึ้นอยู่กับการใส่ใจ  และต้องอาศัย สส.ในพื้นที่ที่ต้องมีการพูดคุยกัน

การลงพื้นที่บ่อยของรัฐบาลและรัฐมนตรีทุกคน  ที่ความจริงแล้วเราไม่ได้เน้นอยู่ในห้องแอร์ เราอยากให้ลงพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น สส. จากพรรคเดียวกันกับนายกฯ หรือไม่ใช่ก็ตาม เราเองพยายามเข้าถึงให้ได้ และพยายามรับฟังปัญหา และเหนือสิ่งอื่นใด สส.คือตัวแทนของประชาชน ทุกคนมีความปรารถนาดีกับประชาชน จะอยู่พรรคไหนก็ตามที ตรงนี้ถ้าเราฟังและมาช่วยกันแก้ไข ผมเชื่อว่าทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำในวันนี้ ”

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ความจริงไม่ใช่ทุกจังหวัดที่ขาดน้ำ  ในหลายๆจังหวัดยังมีน้ำเพียงแต่เราต้องบริหารจัดการ  ถ้าพูดง่ายๆคือต้องใส่ใจ ถ้าเกิดเราไม่ลงพื้นที่ ทั้งผู้ใหญ่หรือรัฐมนตรี ซึ่งบางท่านก็อายุเยอะ โดยนายกรัฐมนตรีได้หันไปทางนายเสริมศักดิ์  พงษ์พานิช รมว. การท่องเที่ยวและกีฬา  พร้อมกล่าวต่อว่า แต่ก็ยังขยันขันแข็ง และยังลงพื้นที่ตลอด  ทำให้นายเสริมศักดิ์ยกมือไหว้   ก่อนที่นานกฯจะกล่าวต่อว่า เพราะหากไม่ลงพื้นที่ก็จะไม่ทราบความเดือดร้อนของประชาชน ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลืออย่างไร  วันนี้ก็ยอมเหนื่อยหน่อยแต่ถือเป็นสิ่งสำคัญ รัฐบาลไม่ใช่มีหน้าที่บริหารอย่างเดียว  เรามีหน้าที่รับฟังเหตุผลและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ในทุกๆจังหวัดทั่วประเทศด้วย ก็ต้องเดินทางเยอะหน่อย เป็นการลงพื้นที่เพื่อรับฟังความเดือดร้อนของประชาชน

อย่างไรก็ตามรัฐบาลมีงบประมาณจำนวนจำกัด ต้องจัดลำดับความสำคัญให้ดี ว่าอะไรที่สำคัญต้องทำก่อน และจัดการโดยเร็ว เป็นโครงการเร่งด่วนที่ต้องลงไปก่อน ยอมรับว่าก็ไม่ง่าย  เพราะ สส. แต่ละท่านก็มีความต้องการที่หลากหลายออกไป

ก่อน เดินทางไปยังภารกิจต่อไป พระพรหมมงคลวัชราจารย์  ได้ประพรมน้ำมนต์ให้นายกรัฐมนตรีและคณะพร้อมให้พรตอนหนึ่งว่า “ในนามแห่งคณะสงฆ์ วัดศรีสุริยวงศารามวรวิหารนี้ ขออำนวยพร ให้ท่านนายกฯและคณะรัฐมนตรีทุกท่าน จงประสบความสุขความเจริญดำเนินกิจการ บริหารประเทศ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยความสวัสดีและเกิดความสุขของประชาชน ของประเทศชาติ ขออนุโมทนาให้ทุกๆท่านช่วยกันบริหารประเทศ ให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไป สส.ก็ต้องสนับสนุน ”