วันที่ 9 พ.ค.2567 เวลา 11.00 น.ที่รัฐสภา นายเอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เข้ายื่นหนังสือต่อนายปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร และ น.ส.พิมพ์กาญจน์  กีรติวิราปกรณ์ สส.กทม.พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกกมธ.ฯ เพื่อขอให้สนับสนุนการยกเลิกกิจกรรมหน้าเสาธงในโรงเรียนและกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน

โดยนายเอกชัย กล่าวว่า เนื่องจากสัปดาห์หน้าโรงเรียนจะเปิดภาคเรียนการศึกษาใหม่ และจะต้องมีกิจกรรมหน้าเสาธงทุกวันตั้งแต่เวลา 07.45 น. หลายคนอาจตะมองว่าเข้าแถวเพียบไม่นานไม่เท่าไร แต่ปีนี้ร้อนมากแม้แต่เวลา 08.00 โมงเช้าก็ อุณหภูมิเกือบ 30 กว่าองศาแล้ว และบังคับให้นักเรียนทุกคนร่วมกิจกรรมนี้ซึ่งรวมระยะเวลาเกือบ 1 ชม. กับสภาพอากาศร้อนจัด ที่อาจทำให้นักเรียนมีความเสี่ยงจะเป็นลม หรือ ฮีทสโตรก ซึ่งตนต้องการที่จะให้ทางคณะกมธ.ฯประสานไปยังกระทรวงศึกษาธิการ มีคำสั่งยกเลิกกิจกรรมดังกล่าวโดยให้เริ่มดำเนินการนำร่องในภาคเรียนที่จะถึงนี้ทันที และหากเป็นไปด้วยความราบรื่นก็ต้องการให้ยกเลิกทั้งหมดเพื่อป้องกันสุขภาพของนักเรียน

นายปารมี กล่าวว่า นโยบายการยกเลิกเข้าแถวเป็นนโยบายหลักของพรรคก้าวไกลอยู่แล้ว เพราะเห็นว่ากิจกรรมเหล่านี้ไม่เหมาะกับยุคสมัยปัจจุบัน ควรจะเปลี่ยนให้เป็นกิจกรรมที่ทันยุคสมัยและสร้างสรรค์มากขึ้น แต่หลายคนอาจจะแย้งว่าการเข้าแถวตอนเช้าเป็นการปลูกฝังวินัย แต่ตนคิดว่าไม่สัมพันธ์กับความเป็นจริงเพราะเราเห็นว่าคนที่อายุ 50 กว่า ในวัยเรียนที่ต้องเข้าแถว เมื่อมาถึงปัจจุบันก็ไม่ได้มีวินัยในหลายๆด้าน เช่น วินัยจราจรเห็นได้จากการที่ผู้ใหญ่ขับรถผ่าไฟแดง ตนจึงคิดว่าการปลูกฝังวินัยไม่สัมพันธ์กับการเข้าแถวในตอนเช้า ดังนั้นควรยกเลิกและเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอื่น เช่น ให้นักเรียนพูดคุยกับครูให้เรื่องที่มีปัญหาหรือเป็นการเปิดอกคุยระหว่างครูกับนักเรียน เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยจะดีกว่า

นายปารมี กล่าวต่อว่า แม้จะมีคนแย้งว่านักเรียนเข้าแถวช่วงเช้าอากาศยังไม่ร้อนแต่อย่าลืมว่า ปัจจุบันเราอยู่ในภาวะโลกเดือดและมีปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่รุนแรงมาก จึงคิดว่าแดดในช่วง 08.00 กว่า ก็ร้อนสำหรับนักเรียนแล้ว ดังนั้นพิธีกรรมเข้าแถวก็ไม่เหมาะกับยุคสมัยแล้ว จะเอาชีวิตของโลกผู้ใหญ่ มาใช้กับภาวะของคนในยุคโลกเดือดไม่ได้แล้ว ทั้งนี้จะนำเรื่องดังกล่าว ส่งเข้าไปยังคณะกมธ.ฯเพื่อเรียกกระทรวงศึกษาการและ โรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทยมาพิจารณาหาทางออกร่วมกัน