วันนี้ (9 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ ชั้น 10 อาคารสำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษกกลุ่มตัวเเทนผู้เสียหายคดีหุ้นกู้ STARK เข้ามอบกระเช้าและให้กำลังใจนายวิรุฬห์ ฉันท์ธนนันท์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ อัยการเจ้าของสำนวน และติดตามความคืบหน้าการยื่นขอให้ศาลมีคำสั่งให้คืนทรัพย์ชดใช้เเก่ผู้เสียหาย หลังล่าสุดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินเพิ่มมาได้อีกเกือบ 3,000 ล้านบาท
โดยผู้เสียหายยังบอกด้วยว่า อยากให้นำผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นที่ดีเอสไอเสนอมา หรือตามดุลพินิจของอัยการเอง เพราะไม่อยากให้เกิดคดีลักษณะนี้ในตลาดหลักทรัพย์ เพราะจะกลายเป็นคดีที่มูลค่าความเสียหายจำนวนมาก และยังมีผู้กระทำผิดบางส่วนยังไม่ถูกดำเนินคดี หรือตกเป็นผู้ต้องหาในสำนวน ทั้งที่คดีนี้เป็นกระบวนการโกงตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ แต่ผู้ต้องหาที่ถูกฟ้องมีเพียงบางส่วน พร้อมกันนี้ผู้เสียหายขอแจ้งความประสงค์ หากมีผู้ต้องหารายใดยื่นขอประกันตัว หรือดำเนินคดีผู้ต้องหาเพิ่มเติม ขอให้อัยการยื่นคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทุกคน เพราะเป็นคดีที่มูลค่าความเสียหายสูง และหากผู้ต้องหาได้ประกันตัวออกไป ก็เกรงว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
นอกจากนี้ผู้เสียหายยังตั้งคำถามถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แม้แต่ตัวเองที่เชื่อสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือ ยังถูกแก๊งนี้ต้มตุ๋น แล้วประชาชนคนอื่นที่ไม่มีความรู้เรื่องการเงิน จะเสียหายมากแค่ไหน และเมื่อเกิดเรื่องประชาชนต้องต่อสู้ดำเนินคดีเองหรือ แล้วหน่วยงานที่กำกับดูแลสถาบันการเงินและตลาดหลักทรัพย์ทำงานอย่างเต็มที่แล้วใช่หรือไม่ หากเต็มที่แล้วเหตุใดจึงยังปล่อยให้เกิดคดีที่มีมูลค่าความเสียหายขนาดนี้อีก
ขณะที่นายวิรุฬห์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้ ซึ่งศาลได้นัดไต่สวนให้ทรัพย์สินที่ยึดมาได้ในสำนวนแรก มูลค่ากว่า 300 ล้านบาทชดใช้คืนแก่ผู้เสียหายแทนการให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ทางอัยการอยู่ระหว่างรอสำนวนที่ 2 จาก ปปง. อีกกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อจะเร่งเสนอให้รวมสำนวนที่ 2 เป็นสำนวนเดียวกัน เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับเงินคืนเร็วขึ้น แต่เนื่องจากมีการคัดค้านจากฝั่งจำเลยว่าทรัพย์สินดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จึงเชื่อว่าในวันดังกล่าวจะมีการเลื่อนนัดไต่สวนออกไป แต่ก็จะทำให้เป็นประโยชน์กับฝั่งผู้เสียหายด้วยเช่นกัน ในการเรียกร้องขอทรัพย์คืน
ส่วนทรัพย์สินที่จะชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหายนั้น จะคืนให้เป็นสัดส่วน เพราะมูลค่าความเสียหายกว่า 14,000 ล้านบาท แต่ตอนนี้ ปปง. ยึดอายัดมาได้เพียง 3,000 กว่าล้าน แต่หากหลังจากนี้ ปปง. ตรวจสอบยึดอายัดเพิ่มเติมมาได้อีก ผู้เสียหายก็สามารถร้องขอคุ้มครองผู้เสียหายไปยัง ปปง. ได้ และหากอัยการสามารถเสนอรวมกับสำนวนแรกได้ทัน ก็จะเร่งดำเนินการ แต่หากยื่นรวมกับสำนวนแรกไม่ทัน ก็สามารถยื่นขอให้ศาลไต่สวนแยกเป็นสำนวนที่ 3 ได้
ส่วนเรื่องผู้ต้องหานั้น ยืนยันว่าตัวการหลักดำเนินคดีทั้งหมด ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือนั้นเป็นปลายน้ำที่ไม่รู้เห็นกับการกระทำความผิด แต่อัยการก็ได้เสนอให้ดีเอสไอดำเนินคดีผู้ต้องหาที่เป็นกรรมการและตัวแทนนิติบุคคลเพิ่มอีก 4-6 คน โดยดีเอสไออยู่ระหว่างสอบสวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม หากหลักฐานเพียงพอก็เชื่อว่าจะมีการออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อหาต่อไป แต่หากผู้เสียหายหรือพนักงานสอบสวนเห็นว่ามีผู้กระทำผิดรายอื่นเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้อีก ก็สามารถร้องทุกข์ไปยังดีเอสไอ เพื่อให้พนักงานสอบสวนขยายผลต่อ และอัยการก็จะพิจารณาสำนวนว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องไปตามพยานหลักฐานต่อไป