ดนตรี / ทิวา สาระจูฑะ

 

Lord, I was born a ramblin' man

Tryin' to make a livin' and doin' the best I can

And when it's time for leavin'

I hope you'll understand

That I was born a ramblin' man

(“Ramblin’ Man” – Forest Richard Betts)

 

เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2024 ที่ผ่านมา ดิคกีย์ เบ็ทท์ส มือกีตาร์และสมาชิกก่อตั้งของ ดิ ออลล์แมน บราเธอร์ส แบนด์ เสียชีวิตที่บ้านของเขาในโอปรีย์, ฟลอริดา ในวัย 80 ปี

สำหรับนักฟังเพลงจำนวนไม่น้อยก็คงเห็นว่าเป็นเพียงการจากไปของนักดนตรีสูงวัยอีกคน แต่ความจริง เบ็ทท์ส มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างสิ่งที่เรียกว่า “เซาเทิร์นร็อก” และผลงานอมตะอีกมากมาย

ดิ ออลล์แมน บราเธอร์ส แบนด์ ก่อตั้งในปี 1969 ชื่อวงมาจากสนามสกุลของ 2 พี่น้อง ดวน และ เกร็กก์ ออลล์แมน แต่คงไม่ผิดความจริงหากจะบอกว่า เบ็ทท์ส คือกำลังหลักที่นำวงมาหลายทศวรรษ และเป็นศูนย์กลางของสุ้มเสียงที่ให้คำจำกัดความเซาเทิร์น-ร็อก

ดวน ที่มีชื่อเสียงในวงกว้างมาก่อนจากการเป็นมือกีตาร์บันทึกเสียงให้ศิลปินดังๆหลายราย แม้แฟนเพลงบางส่วนของวงในยุคแรกเริ่มจะคิดว่า เบ็ทท์ส เป็นแค่มือกีตาร์อีกคนที่มาเล่นรองรับ ดวน ออลล์แมน แต่ความจริงที่ปรากฏคือ เบ็ทท์ส เป็นมือกีตาร์นำคู่กับ ดวน

อัลบั้มคู่แสดงสด At Fillmore East ในปี 1971 ขจัดข้อสงสัยหรือการประเมินต่ำเกี่ยวกับ ดิคกีย์ เบ็ทท์ส ทั้งหมด โดยเฉพาะการแจมกีตาร์สดๆ เล่นล้อ, ตอบโต้ และประสานกันอย่างยืดยาวระหว่าง เบ็ทท์ส และ ดวน ออลล์แมน ในเพลง “In Memory of Elizabeth Reed” เพลงบรรเลงที่ เบ็ทท์ส เป็นผู้แต่ง

ไม่เพียงเท่านั้น At Fillmore East ขายได้มากกว่า 1 ล้านชุด ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่น่าตื่นตาตื่นใจในยุคนั้น กลายเป็นผลงานมาสเตอร์พีซของวง และขณะเดียวกัน ได้สร้างเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเซาเทิร์น-ร็อก แผ้วถางเส้นทางให้นักดนตรีรุ่นหลังนับพันนับหมื่น

เบ็ทท์ส ให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2020 ว่า เขากับ ดวน คล้ายมีจิตวิญญาณเชื่อมโยงอย่างหนึ่งในการเล่นร่วมกัน ขณะที่ย้อนหลังไปก่อนที่ ดวน จะเสียชีวิต เขาเคยพูดอย่างชัดเจนว่า “ผมเป็นมือกีตาร์มีชื่อเสียง แต่ ดิคกีย์ เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง”

แต่บทสนทนาบนคอกีตาร์ที่สุดยอดต้องจบลงเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 1971 เมื่อ ดวน ในวัย 24 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์เสียหลักคว่ำหลังหลบรถปิกอัพที่มาคอน, จอร์เจีย ดิคกีย์ เบ็ทท์ส ที่มีความสามารถและวัยมากกว่าคนอื่นๆ จึงกลายเป็นผู้นำวงไปโดยปริยาย และรับบทมือกีตาร์เพียงคนเดียว

อัลบั้มถัดมา Eat a Peach ในปี 1972 ภายใต้การนำของ เบ็ทท์ส ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ติดอันดับ 4 บนตาราง บิลล์บอร์ด 200 และมีบทเพลง “Blue Sky” ที่เขาแต่งและร้องนำก็กลายเป็นหนึ่งในเพลงร็อคอมตะที่โลกดนตรียอมรับนับถือ

ดิ ออลล์แมนฯ ยังประสบความสำเร็จในปีต่อมากับอัลบั้ม Brothers & Sisters ซึ่งขึ้นถึงอันดับ 1 รวมไว้ด้วย 2 เพลงร็อคคลาสสิคจากการแต่งของ เบ็ทท์ส คือ “Ramblin’ Man” และเพลงบรรเลง “Jessica” เพลงแรกนั้นเป็นเพลงที่ขึ้นอันดับสูงสุดของ ดิ ออลล์แมนฯ คือ ติดอันดับ 2 บนตารางซิงเกิ้ล บิลล์บอร์ด ฮ็อท 100 และถือเป็นลายเซ็นของ เบ็ทท์ส

ทั้งการเป็นหนึ่งในผู้วางรากฐานเซาเทิร์น-ร็อค และบรรดาเพลงอมตะของ ดิ ออลล์แมนฯ จึงป็นเหตุผลที่ เบ็ทท์ส ควรได้รับการยกย่องมากกว่าการเป็นแค่ยอดมือกีตาร์คนหนึ่ง

แต่หลังจากความสำเร็จของ Brothers & Sisters ปัญหาต่างๆเริ่มเข้ามาสู่งวง ทั้งเหล้ายา ความตึงเครียด และอีโก้ เกิดความขัดแย้งระหว่าง 2 แกนหลัก (เบ็ทท์ส และ ออลล์แมน) ในที่สุด ดิ ออลล์แมนฯ ก็แยกทางกันในปี 1976 เกร็กก์ ออลล์แมน ไปออกอัลบั้มเดี่ยวและหลงเพริศกับชีวิตแบบฮอลลีวู้ดเมื่อแต่งงานกับ แฌร์ นักร้อง/นักแสดงชื่อดัง เบ็ทท์ส ไปสร้างวง ดิคกีย์ เบ็ทท์ส แอนด์ เกรท เซาเทิร์น

ดิ ออลล์แมนฯ กลับมารวมตัวกันใหม่ในปี 1979 ด้วยผลงาน Enlightened Rogues อัลบั้มที่นำการเล่นกีตาร์คู่ฟื้นกลับมา โดย เบ็ทท์ส ดึงเอา แดนนี โทเลอร์ มือกีตาร์ในวง เกรท เซาเทิร์น ของเขาเข้ามาด้วย จากนั้นวงก็ออกอัลบั้มและทัวร์เป็นระยะ มีการเปลี่ยนแปลงสมาชิก มีช่วงที่หยุดพักนานๆ ให้สมาชิกแต่ละคนไปทำผลงานของตน

จนกระทั่งปี 2000 สมาชิกรุ่นก่อตั้งที่ยังเหลืออยู่ในขณะนั้นของ ดิ ออลล์แมนฯ ส่งอี-เมล์แจ้ง เบ็ทท์ส ให้รู้ว่า วงจะทำงานต่อไปโดยไม่มีเขา พูดง่ายๆว่า “ไล่ออก” นั่นเอง ด้วยเหตุผลแตกต่างทางความคิดสร้างสรรค์ และที่สำคัญ ปัญหาการควบคุมตัวเองไม่ได้ของ เบ็ทท์ส จากเหล้าและยา เขาปฏิเสธ

แต่สิ่งที่ เบ็ทท์ส ปฏิเสธไม่ได้คือความจริงที่ว่า เขาถูกจับหลายครั้งจากการมีเรื่องมีราวต่างๆ และยอมรับการเข้ารับการบำบัดรักษาในที่สุด แต่หลังจากนั้น แม้ความสัมพันธ์ของเขากับ เกร็กก์ ออลล์แมน จะรื้อฟื้นคืนกลับมาเหมือนพี่น้องในอดีต เบ็ทท์ส ก็ไม่ได้เข้าร่วมกับ ดิ ออลล์แมนฯ อีกเลย จนกระทั่ง บุทช์ ทรัคส์ และ เกร็กก์ ออลล์แมน สองสมาชิกก่อตั้งเสียชีวิตในปี 2017

เขาหันไปทำวง ดิคกีย์ เบ็ทท์ส แบนด์ บันทึกเสียงและออกทัวร์อยู่เป็นระยะ แต่ไม่สม่ำเสมอเพราะปัญหาสุขภาพเสื่อมถอยลง อันเป็นผลพวงมาจากการใช้ชีวิตอย่างหนักในช่วงยาวของชีวิต และในที่สุดก็ถึงปลายทาง

ดิคกีย์ เบ็ทท์ส เป็นหนึ่งในบรรดาคนมีชื่อเสียงที่ บ็อบ ดีแลน เขียนถึงในเพลงดังชื่อ “Murder Most Foul” เมื่อปี 2020 ซึ่งเป็นบทเพลงร่ายยาวเกี่ยวกับการลอบสังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ และสภาพสังคมแวดล้อมในตอนนั้น มีอยู่วรรคหนึ่งเขียนว่า “Play Oscar Peterson, play Stan Getz / Play ‘Blue Sky,’ play Dickey Betts.”

เพื่อนๆรู้ว่า ดิคกีย์ เบ็ทท์ส รู้สึกเป็นเกียรติอยู่ลึกๆที่ได้รับการกล่าวถึงจากยอดนักแต่งเพลง แต่เขาก็บอกอย่างถ่อมตนว่า “ผมคงจะบอกว่า เขาเพียงแต่ใช้ชื่อผมเพราะมันคล้องจองกับ (สแตน) เก็ทซ์”