เมื่อเวลา 10.30 น วันที่ 7 พ.ค.67 ร.ต.อ.วรชัย แจ่มศรี รอง สว.สส.(สอบสวน) สภ.ขลุง ได้รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุ รถยนต์ชนกัน บนถนนสาย ขลุง-มะขาม พื้นที่หมู่ 4 ต.ซึ้ง อ.ขลุง จ.จันทบุรี เบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายรายหลังรับแจ้งต่อมา ได้ประสาน ทีมแพทย์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลขลุง พร้อมอาสากู้ชีพขลุงมูลนิธิ ร่วมเดินทางตรวจสอบและให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
ที่เกิดเหตุ พบรถยนต์กระบะอีซูซุ สีขาว ทะเบียนจันทบุรี เสียหลักจอดขวางถนน สภาพด้านหน้าถูกชนพังเสียหายยับเยิน โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 3 ราย ติดอยู่ด้านใน รายแรกชื่อ นายเปรม (ขอสงวนนามสกุล) 38 ปี เป็นคนขับ อีก 2 คน ที่นั่งมาด้วยชื่อ น.ส.น้ำทิพย์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 43 ปี และ นายภาสกร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผล และรอยฟกช้ำตามร่างกาย รู้สึกตัวดี ทางกู้ชีพขลุงนิธิ ได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนช่วยลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่งโรงพยาบาลขลุง
ใกล้กันพบรถยนต์กระบะอีซูซุ สีบรอนซ์ ทะเบียนจันทบุรี อยู่ในสภาพพลิกหงายท้องล้อชี้ฟ้าพังเสียหายทั้งคัน โดยมี นายมงคลชัย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี ชาว
อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี คนขับติดอยู่ในซากรถ มีบาดแผลที่ศีรษะ และแผลถลอกตามร่างการรู้สึกตัวดี ทางกู้ชีพได้ช่วยนำร่างออกมาจากรถ ช่วยปฐมพยาบาล ในบริเวณที่เกิดเหตุ ยังพบมีผู้บาดเจ็บ 2 ราย ทราบชื่อ นายกัลป์ขัย (ขอสงวนนามสกุล) เป็นชาว ต.อ่างคีรี อ.มะขาม อีกรายเป็นแรงงานชาวลาว ถูกแรงเหวี่ยงกระเด็นจากรถตกลงไปในป่าหญ้า ทางอาสากู้ชีพขลุงมูลนิธิ ได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนรีบนำส่งตามไปรักษาที่โรงพยาบาลขลุง
ขณะที่ ร.ต.อ.วรชัย แจ่มศรี ร้อยเวรเจ้าของคดี ได้ทำการเปิดกล้องหน้ารถ ของรถยนต์กระบะอีซูซุ สีขาว เพื่อทำการตรวจสอบสาเหตุ โดยภาพจากกล้องเผยให้เห็นคลิปนาทีที่ ฝ่ายของรถยนต์กระบะ สีบรอนซ์ คู่กรณีที่ขับมาจากทาง อ.มะขาม กำลังมุ่งหน้าไปทาง อ.ขลุง จู่ๆได้เสียหลักข้ามเลนพุ่งตรงเข้ามาหา ก่อนที่ภาพจะดับหายไป คาดว่าจะเป็นช่วงที่รถทั้ง 2 คันพุ่งชนประสานงากัน
จากการตรวจสอบคลิปกล้องหน้ารถ และการตรวจสอบร่องรอยหลักฐานในที่เกิดเหตุ เบื้องต้นทางตำรวจสันนิษฐานว่าสาเหตุ อาจเกิดจากคนขับกระบะสีบรอนซ์คู่กรณีเผลอวูบหลับใน ทำให้รถเสียหลักข้ามเลนไปชนประสานงา กับรถกระบะอีกคัน ทั้งนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวน ทั้งนี้ทาง ร.ต.อ.วรชัย แจ่มศรี ร้อยเวรเจ้าของคดี จะได้เชิญคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาทำการปากคำเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด ก่อนแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ในลำดับต่อไป