วันที่ 7 พ.ค.2567 เวลา 13.10 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงเปิดใจหลังเข้ารับตำแหน่งว่า วันนี้ตนมาทำหน้าที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ โดยได้รับมอบหมายงานให้ตรวจร่างมติ ครม. ดูเรื่องกฎหมาย ที่จะเสนอนายกฯ ก่อนเข้าที่ประชุม ครม. และดูแลสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, สำนักเลขานายก รวมถึงสำนักเลขาคณะรัฐมนตรี, สำนักพระพุทธศาสนาที่ตนใฝ่ฝัน  ยืนยันจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด และยืนยันต่อสื่อมวลชนว่า ตนก็รักประเทศชาติไม่น้อยกว่าคนอื่น และจะปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งตนเองไม่ใช่คนใหม่ที่นี่ เพราะอยู่มา 6-7 เดือนแล้ว ในฐานะที่ปรึกษานายกฯ วันนี้เพียงเปลี่ยนเก้าอี้นั่งไปเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ

โดยที่ผ่านมาตนเองเข้าประชุม ครม. ไม่ขาดแม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่ ครม. สัญจร ตนก็ได้รับรู้นโยบายของรัฐบาล ฉะนั้นเรื่องงานตนเองจึงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เลย ขอให้สบายใจได้ ในวันนี้กรอบงานของตนอยู่ในเรื่องของกฎหมาย และรับปากว่าหลังจากนี้ ตนจะขึ้นแต่ประตูกลางของทำเนียบรัฐบาล หากมีประเด็นอะไรก็คุยกันให้รู้เรื่อง แบบพี่แบบน้อง และทำอะไรก็ได้ที่สื่อสาร และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ



นายพิชิต กล่าวอีกว่า โดยตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ในตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ตนวิ่งรถเข้าวิ่งรถออก และเห็นป้ายๆ หนึ่งที่สะกิดใจ คือศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชน 1111 โดยวันนี้ Kick Off วันแรก ตนจะเริ่ม Quick win ทำงานภายใน 30 วัน จะพลิกฟื้นศูนย์ภายใต้โครงการ ‘ทำเนียบช่วยได้’ เพราะทำเนียบรัฐบาล ต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน ต้องช่วยเหลือทุกประชาชน ซึ่งจะรับแจ้งเบาะแสอาชญากรรมทุกประเภท และในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตนพร้อมที่จะรับเรื่องและไปติดตามงานตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ แล้วเอาผลต่างๆ มาแจ้งให้ประชาชนทราบ

“ผมได้ขอความกรุณา จากรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย และหน่วยงานที่ช่วยเหลือประชาชน เพื่อบูรณาการกันมาหมดแล้ว สตาร์ทเครื่องได้เลย เพราะผมดูแลนโยบายรัฐบาล และแทบจะรู้ว่านายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในเรื่องอะไรบ้าง ผมก็เหมือนเป็นมือไม้ของท่านนายกรัฐมนตรี และจะเอาข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีมาทำให้เป็นทำเนียบช่วยได้ เพื่อสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมกับประชาชนภายใน 30 วัน และทำอย่างเป็นรูปธรรม” นายพิชิต กล่าว



นายพิชิต กล่าวต่อว่า ส่วนงานพระพุทธศาสนาที่ตนใฝ่ฝัน ซึ่งมีปัญหามากมาย และเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ตนจะไปทำความเข้าใจระหว่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกับพระสงฆ์ รวมถึงพระชั้นผู้ใหญ่ เพื่อขอนโยบายในทันที โดยต้องขอขอบคุณนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้จัดงานวันวิสาขบูชาไว้ก่อนหน้านี้ด้วย ซึ่งในวันที่ 9 พ.ค.นี้ เวลา 14:00 น. ทางมหาเถรสมาคม ได้มอบหมายให้มหาจุฬาลงกรณ์เป็นเจ้าภาพในการจัดงาน

นายพิชิต กล่าวอีกว่า ขอประกาศว่า ตนพร้อมก้าวหน้า พร้อมเดินหน้าทำงานเพื่อประเทศชาติ และประชาชน “ผม พิชิต ชื่นบาน รักประเทศชาติ และประชาชนไม่น้อยกว่าคนอื่นหรอกครับ“ ยืนยันว่า สิ่งที่ทุกคนตั้งข้อสงสัย ซึ่งทุกคนมีอุบัติเหตุในชีวิตได้ แต่ขอให้ระยะเวลา 6-7 เดือนที่ผ่านมาในพื้นที่ข่าวที่มีเรื่องของตน หากให้ความเป็นธรรมกับตน ไปศึกษาเรื่องราวต่างๆ อย่างเพียงพอ ก็จะทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ว่าตนเป็นคนไม่ดีอย่างที่มีการกล่าวหากัน หากเป็นจริงคนที่ชื่อว่าพิชิต ชื่นบาน จะไม่เดินเข้าทำเนียบรัฐบาล และมั่นใจว่าหัวใจของตน ตนไม่ได้เป็นคนผิด ไม่ได้เป็นคนชั่วร้าย การมายืนอยู่จุดนี้ หากไม่มีความรู้ความสามารถตนก็ไม่มีทางมายืนได้ หากมาด้วยระบบเส้นสาย ตนก็ยืนอยู่จุดนี้ไม่ได้



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายพิชิตได้ยกมือไหว้ พร้อมกล่าวขอให้โอกาสกับประชาชนให้ตนเองได้ทำงาน ประเด็นของตน ใจตน ไม่มีเรื่องการเมือง และเคารพสิ่งที่ทุกคนตั้งข้อสงสัย หลังจากนี้ก็ขอให้รอฟังดุลพินิจของแต่ละหน่วยงานที่มีการร้องให้ตรวจสอบ แต่วันนี้ขอก้าวไปทำงาน และให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

เมื่อถามว่า ยังรู้สึกหวั่นไหวอยู่หรือไม่กับการได้เป็นรัฐมนตรีเพราะเป็นคนของนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายพิชิต  กล่าวว่า ยืนยันว่าการมาอยู่ในจุดนี้ได้ เพราะความรู้ความสามารถ หากไม่มีตนก็ไม่สามารถมายืนอยู่ที่จุดนี้ได้ การบริหารราชการแผ่นดินไม่ใช่เรื่องเส้นสาย

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าคำร้องต่างๆ จะถูกโยงไปถึงนายกรัฐมนตรี นายพิชิต กล่าวว่า เรื่องนี้ปล่อยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดุลพินิจ ขอให้เราอยู่กับปัจจุบันทำหน้าที่ก่อน ตนเองมีหน้าที่ดูแลรัฐบาล ให้บริหารราชการแผ่นดินให้เกิดความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และกฏหมาย ฉะนั้นถ้าหากไม่มั่นใจว่าจะทำหน้าที่ตรงนี้ได้ แล้วจะมายืนทำไม

เมื่อถามต่อว่า สำหรับคดีต่างๆ ที่ถูกฟ้อง หากมองในฐานะนักกฎหมาย จะมองอย่างไร นายพิชิต กล่าวว่า ตนไม่สามารถคิดอะไรเองได้ เพราะมีส่วนได้เสีย รอให้หน่วยงานต่างๆ วินิจฉัยดีกว่า เพราะหากว่าตนเองคิดก็คงจะต้องเข้าข้างตัวเอง

“ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่กระทบต่อการทำงาน เพราะมีสมาธิสูง และอยู่ในจุดที่ได้พิสูจน์หัวใจของตัวเองไปแล้วว่า ไม่หวั่นไหว แม้มีอะไรมาล่อใจ ผมเองก็ไม่หวั่นไหว จึงสามารถยืนได้จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งนับตั้งแต่วันนี้ไป ขอให้ดูการทำงานของผม” นายพิชิต กล่าว