นายกฯ โดดป้อง แพทองธาร ลั่นไม่ได้บังคับ ธปท. ปมลดดอกเบี้ย ลั่นเป็นอิสระได้แต่ต้องไม่ลืมประชาชน ฝาก รมว.คลังคุย แบงก์ชาติ เรื่องลดดอกเบี้ย  ภูมิธรรม โพสต์แรง ซัด แบงก์ชาติ ไม่ใช่องค์กร จะกล่าวถึง วิพากษ์วิจารณ์ หรือแตะต้องไม่ได้ มั่นใจ อุ๊งอิ๊ง กำลังทำหน้าที่สะท้อนความเห็นอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา  ด้านนิด้าโพลเผย ปชช.เกินครึ่งห็นด้วยแก้ รธน. ไม่แตะหมวด1หมวด2  พร้อมไม่เชื่อมั่นแก้รธน.ทำการเมืองดีขึ้น 

    
 เมื่อวันที่ 5 พ.ค.2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พูดบนเวที งาน 10 เดือนที่ไม่รอทำต่อให้เต็ม 10 ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นเศรษฐกิจว่า ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าเรื่องดอกเบี้ยเป็นเรื่องสำคัญ เป็นรายจ่ายที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ดังนั้นที่น.ส.แพทองธารพูดเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนมากกว่า ซึ่งส่วนตัวเข้าใจในความอิสระของแบงค์ชาติ และมั่นใจว่าทำงานร่วมกันและให้เกียรติมาโดยตลอด เมื่อมีข้อเรียกร้องจึงได้เรียกร้อง เมื่อต้องพูดคุยกันเรื่องดอกเบี้ยที่เห็นว่า ควรต้องปรับลดลง แต่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีเหตุผลที่จะไม่ปรับลด จากนี้รัฐบาลต้องเดินหน้าพูดคุยกับ 4 ธนาคารใหญ่เพื่อให้ลดดอกเบี้ยลง ซึ่งเชื่อว่าเป็นการทำงานยึดโยงกับประชาชนจากที่ลงพื้นที่รับฟังมาโดยตลอด ซึ่งในการลงพื้นที่จังหวัดมหาสารคามและจังหวัดร้อยเอ็ดก็จะรับฟังปัญหานี้ต่อไป
   
  นายกฯ กล่าวว่า ความเป็นอิสระก็เรื่องหนึ่ง แต่ต้องไม่ลืมว่าการมาอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ สถาบันการเงิน นักการเมือง เรามาอยู่เพื่อประชาชน แต่วิธีการแก้ไขปัญหาแตกต่างกัน ทุกคนมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ได้ ตนมีความกังวลกับทุกเรื่อง รวมถึงผลกระทบจากความคิดเห็นที่เกิดขึ้น  เพราะไม่อยากให้มีความขัดแย้ง จึงพยายามแก้ไขปัญหาในส่วนที่สามารถทำได้ เหมือนคำแนะนำที่ผู้ว่าฯธปท. ระบุการประสานระหว่าง ธปท. กับรัฐบาลควรดำเนินการผ่านสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สคล.) หรือหน่วยงานของกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องมีการพูดคุยกันต่อไป เพราะมีความเห็นแตกต่างกันชัดเจนเรื่องดอกเบี้ย เพราะการลดดอกเบี้ยแค่ 1 สลึงหรือ 50 สตางค์ก็มีส่วนช่วย ซึ่งวันนี้จะไปรับฟังปัญหาเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบที่กัดกร่อนสังคมไทยมานาน ดังนั้นวิธีการสื่อสารอาจแตกต่างกันไป แต่ยืนยันว่า รัฐบาลให้เกียรติทุกองค์กร
    
 หลังจากนี้จะมีการหารือกับ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังคนใหม่ ว่าจะสามารถประสานพูดคุยกับ ธปท.ได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น เพราะหากขัดแย้งกันแล้วประชาชนเดือดร้อนก็จะไม่ดี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันแต่ก็มีวิธีอื่นที่สามารถประสานพูดคุยกันได้  เมื่อถามว่า ประเด็นที่ฝ่ายค้านมองว่าเวทีของพรรคเพื่อไทยเป็นการบีบ ธปท. ให้เห็นด้วยกับรัฐบาล นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่เคยบีบใคร เป็นแค่การสะท้อนความต้องการของประชาชน
   
  ที่เวทีปราศรัยศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทย อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม น.ส.แพทอง ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อม ส.ส. บัญชีรายชื่อ ส.ส. เขตภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ศรีสะเกษ สุรินทร์ และส.ส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่เปิดเวทีพรรคเพื่อไทยพบประชาชน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีการแจ้งกำหนดการลงพื้นที่ครั้งนี้ และถือเป็นการเปิดเวทีคู่ขนานกับการลงพื้นที่ของ นายเศรษฐาทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในวันเดียวกัน
    
 โดยเวทีดังกล่าวได้เปิดตัว นายพลพัฒน์ จรัสเสถียร ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.มหาสารคาม ของพรรคเพื่อไทย โดยนายพลพัฒน์เป็นน้องชายของ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีต ส.ส. มหาสารคาม และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
    
 น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า วันนี้รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมากที่ได้กลับมาพบกับประชาชน เพราะก่อนหน้านี้ลงพื้นที่หาเสียงสมัยที่ท้องโต วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ได้มาเจอมาคุยกับพี่น้องประชาชน อีกทั้งยังจะมีการเลือกตั้งนายก อบจ. ในปีหน้า อยากจะบอกว่าการเลือกตั้งท้องถิ่น เป็นหัวใจของประชาธิปไตย พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก วันนี้จึงขอเปิดตัว
    
 ส่วน นายพลพัฒน์ จรัสเสถียร ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ. มหาสารคาม ซึ่งเป็นน้องชายของนายยุทธพงศ์ แม้จะเป็นหน้าใหม่ยังหนุ่มยังแน่น แต่ประสบการณ์การเมืองไม่ใหม่ อยู่เบื้องหลังการทำงานของพรรคเพื่อไทยกับนายยุทธพงศ์ จากนั้นน.ส.แพทองธารได้ถามกับประชาชนว่าเคยเห็นหน้าของนายพลพัฒน์หรือไม่ ประชาชนจึงตอบว่า เคยเจอ น.ส.แพทองธาร จึงตอบว่า แสดงว่าลงพื้นที่เจอกับพี่น้องจริงๆ ทำให้รู้สึกดีใจ ซึ่งจะมาช่วยดันนโยบายของรัฐบาล จึงขอฝากนายพลพัฒน์ ซึ่งเป็นคนหนุ่มยังมีแรงทำงาน เอาไว้ในอ้อมใจ
    
 น.ส.แพทองธาร ยังได้กล่าวถึงปัญหายาเสพติด ว่า ผู้เสพเขาเป็นลูกหลานของเรา จึงต้องรักษาและคืนเขาสู่ครอบครัว เพราะเขาคืออนาคตและเราตระหนักเสมอว่าลูกหลานของเราต้องห่างไกลจากยาเสพติด พร้อมยืนยันว่าจะผลักดันนโยบายการแก้ปัญหายาเสพติด ให้สำเร็จ จากนั้นน.ส.แพทองธารได้ลงจากเวทีก่อนที่นายกฯ จะเดินทางมาถึง และมารอรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกันกับนายกฯที่บ้านพักของนายยุทธพงศ์
    
 วันเดียวกัน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวความว่า "แบงก์ชาติ"ไม่ใช่องค์กร หรือสถาบันที่"ประชาชน"จะกล่าวถึงหรือ"วิพากษ์ วิจารณ์ " หรือ"แตะต้อง" ไม่ได้ เจตจำนงพรรคเพื่อไทยที่หัวหน้าพรรค นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้สื่อสารกับสังคมถึงกรณีแบงก์ชาติในวันประชุมของพรรคที่ผ่านมา
    
 สำหรับผมคือการแสดงออกอย่างเปิดเผย จริงใจ และห่วงใยที่แบงก์ชาติยังยืนยันที่จะตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้อย่างเดิมโดยไม่พิจารณาถึงผลกระทบด้านต่าง ๆ ซึ่งประชาชน (ที่เป็นลูกหนี้แบงก์และประชาชนทั่วๆไป) กำลังเผชิญชีวิต ดิ้นรนอยู่ภายใต้ ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังซ้ำเติมชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาอย่างแสนสาหัส
    
 สื่อมวลชนเองก็รับรู้กระแสข่าวเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ความคิดของคนในสังคมต่อประเด็นนี้ก็มีความหลากหลาย และประเด็นการตัดสินใจของแบงก์ชาติก็เป็นกระแสความเห็นต่างกันอย่างกว้างขวางในสังคม แต่แปลกใจว่าทำไมเมื่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทยสะท้อนความคิดบ้าง จึงเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์ วิจารณ์ แบบมุ่งโจมตีด้วยอคติอย่างไร้เหตุผล
    
 การแสดงความเห็นต่อกรณีแบงก์ชาติในวันประชุมของหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมา ผมเชื่อมั่นว่าหัวหน้าพรรคเพื่อไทยกำลังทำหน้าที่สะท้อนความเห็นอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมาต่อแบงก์ชาติ ในฐานะที่องค์กรนี้เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของการพัฒนาและดูแลระบบเศรษฐกิจของประเทศ
    
 ความเห็นดังกล่าวมีนัยยะที่สะท้อนถึงความห่วงใยต่อผลกระทบจากภาระทางเศรษฐกิจที่บีบคั้นชีวิตของประชาชนจำนวนมาก ซึ่งกำลังเดือดร้อน และแบกรับความยากลำบากอยู่ ท่าทีของการแสดงความคิดทางการเมืองของหัวหน้าพรรคเพื่อไทยจึงเป็นไปตามวิถีประชาธิปไตย และสำนึกความรับผิดชอบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน อีกทั้งยังเป็นการนำเสนอในเวทีของพรรคการเมือง ประกอบด้วยกรรมการและสมาชิกพรรค ที่ต่างต้องมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการแสวงหาแนวทาง มาตรการ ทางเลือก เพื่อช่วยกันคิด และจัดการภาวะเศรษฐกิจของประเทศ จึงเป็นสิทธิที่สามารถพูดได้ ออกความเห็นได้ และเป็นเรื่องที่พึงกระทำได้ ไม่ว่าจะในฐานะพลเมือง หรือหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีความห่วงใยประชาชน ห่วงใยบ้านเมือง ผมเห็นว่าการแสดงความเห็นโดยสุจริตใจในครั้งนี้จะเป็นการกระตุกให้สังคมและผู้เกี่ยวข้องได้ช่วยกันคิด ไตร่ตรองหาเหตุผลให้เห็นทางออกมากขึ้น
     
ความเป็นจริงแบงก์ชาติไม่ใช่สถาบันที่อยู่เหนือการเมือง ไม่ใช่องค์กรที่ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ ตรงข้าม แบงก์ชาติคือกลไกของระบบเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ ที่ประชาชนทุกฝ่ายเข้าถึง เสนอความคิดเห็นได้ แม้จะมีขอบเขตหน้าที่หลักทางเศรษฐกิจ ก็ไม่ได้หมายความว่าแบงก์ชาติไม่ข้องเกี่ยวกับการเมือง และชีวิตของประชาชน การที่ประชาชนทั่วไปหรือพรรคการเมืองกล่าวถึงแบงก์ชาติ หรือวิพากษ์วิจารณ์ เสนอความเห็นต่อแบงก์ชาติ ก็ไม่ใช่การแทรกแซง แต่เป็นการเสนอเพื่อให้มุมมองทางเลือกอื่นๆ ที่เหมาะสมมากกว่าในบริบทสถานการณ์ที่เป็นอยู่
     
การที่สื่อบางบุคคล บางสำนักมีอคติต่อพรรคเพื่อไทย และนำความเห็นบางส่วนของหัวหน้าพรรคมาวิพากษ์อย่างรุนแรง และขยายความตามอคติของตนบวกด้วยการใส่สีตีข่าว เป็นการทำข่าวด้วยอคติมากกว่าข้อเท็จจริง ผมเฝ้ามองคนข่าวหรือสำนักข่าวบางคนบางส่วน ที่ยังติดยึดอยู่กับอคติเดิมแล้วการใช้พื้นที่ข่าวของตนเป็นพื้นที่ละเลงอคติและขยายความขัดแย้งอยู่เนืองๆ ก่อและปั่นกระแสขัดแย้งในสังคม โดยไม่คำนึงถึงสิทธิและความเป็นมนุษย์ของบุคคลที่ตกเป็นข่าว
     
ผมขอยืนยันว่า กรณีแบงก์ชาติยังเป็นประเด็นที่สังคมยังสะท้อนความเห็นและสื่อสารกันได้ โดยใช้ความรู้และปัญญาที่รอบด้านมากกว่าการใช้จินตนาการที่มีแต่อคติ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับการขับเคลื่อนทั้งเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม

     ด้าน นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก "เทพไท เสนพงศ์-คุยการเมือง" ระบุว่า พรรคเพื่อไทย ได้ 3 เต็ม 10 การที่พรรคเพื่อไทยจัดอีเวนต์ "10เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม10" เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศ และแถลงผลงานในรอบ8เดือนที่ผ่านมา โดยให้สมาชิกที่เป็นแกนนำและคนรุนใหม่แต่ละคน ขึ้นมาพูดถึงวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ และตัวคุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก็พูดถึงผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมาด้วย ในฐานะที่เป็นผู้สังเกตการณ์ทางการเมือง และติดตามการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้ ถ้าพรรคเพื่อไทยต้องการที่จะได้คะแนนเต็ม 10 จะต้องทำงานหนัก และผลักดันนโยบายให้เป็นจริงในทางปฏิบัติให้มากกว่านี้ ตอนนี้ถ้าคะแนนเต็ม 10 ผลงานรัฐบาลชุดนี้ได้เพียง3คะแนนเท่านั้น เพราะรัฐบาลได้บริหารประเทศล้มเหลวในทุกๆด้าน เช่น 1.ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลยังไม่สามารถผลักดันโครงการที่ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีเลย นโยบายแจกดิจิทัลวอลแล็ต ยังผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆอย่างไม่มีอนาคต ปัญหาปากท้องของประชาชน ข้าวของมีราคาแพงขึ้นทุกวัน ราคาไข่เพิ่มขึ้น3ครั้ง พริกมะนาวปรับขึ้นราคา อาหารประจำวันข้าวแกงปรับตัวแพง แชร์กันกระหึ่มโลกโซเชียล รวมถึงค่าไฟฟ้า ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นทุกวัน สวนทางกับนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย 2.ปัญหาด้านสังคม มีปัญหาสังคมเกิดขึ้นรายวัน ปัญหายาเสพติดนับวันจะเพิ่มขึ้น รัฐบาลพยายามโชว์ตัวเลขการจับยาเสพติดได้มาก แต่ในขณะเดียวกันผู้ค้า ผู้เสพก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีปัญหาคนหลอนยา ผู้ป่วยจิตเวช ก่ออาชญากรรมฆ่าคนในครอบครัว ไม่เว้นแต่ละวัน ปัญหาหนี้นอกระบบ รัฐบาลประกาศขึ้นทะเบียน แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาในทางปฏิบัติได้
   

 3.ปัญหาด้านการเมือง รัฐบาลล้มเหลวในเรื่องการผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งตอนที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านประกาศว่า จะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับให้เสร็จภายในหนึ่งปี จนถึงบัดนี้จะครบหนึ่งปีแล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเลย ยังถกเถียงเรื่องการทำประชามติไม่จบสิ้น และการแก้รัฐธรรมนูญยังมีเงื่อนไขยกเว้นห้ามแตะหมวด1และหมวด2 รวมถึงการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่พรรคเพื่อไทย เคยประกาศสนับสนุนแก้ปัญหาผู้กระทำผิดกฎหมายมาตรา112 อ้างว่าเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการรังแกประชาชน แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล กลับออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่ครอบคลุมผู้กระทำผิดมาตรา 112 4.ปัญหาด้านความมั่นคงของชาติ นับตั้งแต่คุณเศรษฐา ลงพื้นที่พักค้างใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้ลงทุนและนักท่องเที่ยว นับจากนั้นเป็นต้นมา ความรุนแรงเกิดขึ้นเป็นรายวัน มีการวางระเบิดสังหาร การลอบยิงเจ้าหน้าที่บ้านเมือง การวางระเบิดโรงไฟฟ้าชีวมวล การเผาปั๊มน้ำมัน ฯลฯ 5.ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ที่พรรคเพื่อไทยประกาศจะแก้ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ของประเทศ จนถึงวันนี้ตัวเลขของฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ยังติดอันดับโลกอยู่ทุกวัน ปัญหาภัยแล้งที่กำลังเกิดขึ้น ปัญหาการจัดเก็บสารพิษ และไฟไหม้โรงงาน โกดัง ก็ยังลุกลามไม่จบสิ้น
   

 ยังมีปัญหาอื่นๆ ปลีกย่อยอีกมากมาย ที่รัฐบาลชุดนี้ยังไม่สามารถแก้ไขได้ จึงทำให้การประเมินคะแนนจากเต็ม 10 คงจะได้เพียง 3 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนจากผลงานเหล่านี้คือ 1.ความตั้งใจ ความขยันในการทำงานของคุณเศรษฐา แบบถึงลูกถึงคน เหมือนกับเป็นซีอีโอของบริษัทเอกชน 2.ราคาสินค้าเกษตรยางพาราปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องของปริมาณยางในตลาด และกลไกของตลาดโลกก็ตาม แต่ก็จะยกเครดิตข้อนี้ให้กับรัฐบาลชุดนี้ไป 3.การนำคุณทักษิณกลับสู่ประเทศ เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีความวุ่นวาย หรือการชุมนุมเกิดขึ้น แม้รัฐบาลเลือกปฏิบัติต่อคุณทักษิณแบบนักโทษเทวดาก็ตาม ผมขอประเมินผลงานรัฐบาลในปีแรก ได้ 3 เต็ม 10 เท่านั้น ส่วนจะได้ 10 เต็ม 10 ตามที่พรรคเพื่อไทยตั้งความหวังไว้ ก็คงจะเป็นไปได้ยากมาก เมื่อครบ4ปีแล้ว ถ้าทำคะแนนได้ 5 เต็ม 10 ก็ถือว่าเก่งที่สุดแล้ว
   

 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง "แก้ไขรัฐธรรมนูญเอาไงดี?" ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 30 เม.ย.ถึง 1 พ.ค.67 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการลงประชามติเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ "นิด้าโพล" สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
     

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 50.07 ระบุว่า เห็นชอบ รองลงมา ร้อยละ 29.24 ระบุว่า ไม่เห็นชอบ ร้อยละ 12.37 ระบุว่า ไม่ไปลงคะแนน และร้อยละ 8.32 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
     

ด้านความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะสำเร็จภายในระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ชุดปัจจุบัน พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 46.03 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย รองลงมา ร้อยละ 31.37 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 12.67 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 6.80 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 3.13 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
 

   ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะทำให้การเมืองไทยดีขึ้น พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 37.95 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย รองลงมา ร้อยละ 26.03 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 19.31 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 15.11 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 1.60 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ