คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย

หากจะวิเคราะห์ถึงความวุ่นวายทางการเมืองในสหรัฐอเมริกากันในขณะนี้ ดูเหมือนว่าทุกๆฝ่ายต่างมุ่งตรงไปที่ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” เสียส่วนใหญ่ ทั้งนี้เขาได้งัดเอากลยุทธ์แปลกแหวกแนวเกินหน้ากว่านักการเมืองคนอื่นๆออกมาใช้ สืบเนื่องมาจากเขามีพรสวรรค์ที่โดดเด่นเฉพาะตัวอย่างที่นักการเมืองคนอื่นๆไม่กล้าทำนั่นเอง

โดยสัปดาห์นี้ประธานาธิบดีทรัมป์มี 2 คดีที่เขาจะต้องต่อสู้ คดีที่หนึ่งเกี่ยวข้องกับ “การจ่ายเงินปิดปาก(Hush-money)ให้แก่“สตอร์มี แดเนียลส์” ดาราสาวดาวโป๊ เพื่อมิให้เธอเปิดปากแพร่งพรายในเรื่องที่ทั้งสองมีความสัมพันธ์ต่อกัน ส่วนคดีที่สองเกี่ยวกับคดีล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อปีค.ศ. 2020

สำหรับคดีแรกได้มีการนำสืบพยานปากเอก “เดวิด เพคเกอร์” อดีตซีอีโอของ American Media ซึ่งเป็นสื่อแท็บลอยด์ทั้งนี้เพคเกอร์เอ่ยปากเล่าว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ถือเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเขามาช้านาน โดยเขาได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรณรงค์หาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี ค.ศ.2016 ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการให้เขาช่วยลบกระแสข่าวในเรื่องที่เขาเข้าไปกุ๊กกิ๊กมีเพศสัมพันธ์กับ สตอร์มี แดเนียลส์ เพราะจะมีผลกระทบกระเทือนต่อการเลือกตั้ง!!!

ทีนี้ลองหันมาดูกลยุทธ์ที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์นำมาใช้ในการต่อสู้คดีความของเขากันดูบ้าง ที่ผ่านๆมาจะเห็นได้อย่างเด่นชัดว่าเขามักจะใช้ฝีปากกล่าวโวยวายวิพากษ์วิจารณ์ต่อ “ผู้พิพากษาฮวน เมอร์ชาน” ผ่านทางสื่อโซเชียลที่เขาเป็นเจ้าของตลอดเวลาวันแล้ววันเล่า แถมยังโจมตี “อัยการอัลวิน แบรกก์” ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในเขตนครแมนฮัตตัน รัฐนิวยอร์ก รวมถึงบรรดาพยานทุกๆคน และถึงแม้ว่าผู้พิพากษาจะมีคำสั่งห้ามประธานาธิบดีทรัมป์หยุดการวิพากษ์วิจารณ์ต่อพยานและต่อเจ้าหน้าที่ศาลก็ตาม แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ก็หาได้หยุดยั้งไม่

และยังเป็นที่น่าสังเกตอีกเช่นกันว่า การใช้สื่อมาเป็นอาวุธที่ใช้โจมตีต่อผู้พิพากษา ต่ออัยการของโจทย์ และต่อบรรดาพยานนั้น กลับปรากฏว่ายังเป็นหนทางที่ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้ในการหาเงินบริจาคอีกด้วย เฉพาะแค่เพียงสัปดาห์แรกเท่านั้นเขาก็ได้รับเงินบริจาคไปแล้วเนาะๆถึงห้าล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

ส่วนการปกปิดข่าวเรื่องเพศสัมพันธ์ของประธานาธิบดีทรัมป์กับดาราสาวดาวโป๊นั้น ทีมทนายความของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมากล่าวอ้างว่า “มิใช่เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นเรื่องของการแข่งขันทางการเมือง และยังเป็นเรื่องของสิทธิและเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย!!!

ส่วนในกรณีของการที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เพียรพยายามที่จะโค่นล้มการเลือกตั้งในปีค.ศ. 2020 ก็ได้มีการถกเถียงกันระหว่างศาลทั่วประเทศ แต่เนื่องจากศาลฎีกาได้รับฟังข้อโต้แย้งระหว่างทีมทนายความของประธานาธิบดีทรัมป์กับทีมทนายความของรัฐบาล เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2024 นี้

โดยมีเนื้อหาซึ่งถือเป็นหัวใจหลักสำคัญอยู่ว่าขณะนั้นอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้ทำหน้าที่ภายในขอบเขตหรือไม่? โดยจะเห็นได้จากการที่เขาพยายามกดดันให้ “อดีตรองประธานาธิบดีไมค์ เพนส์” ขัดขวางการรับรองผลการเลือกตั้ง ทั้งนี้ “วุฒิสมาชิกมิทช์ แมคคอนเนลล์” ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อรายการ “Meet the Press” ของสถานีโทรทัศน์ NBC News เมื่อวันพฤหัสบดีว่า “ในกรณีของเรื่องที่เกิดขึ้นประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สมควรที่จะได้รับการยกเว้นการถูกดำเนินคดีทางอาญา” และในขณะที่ศาลฎีกามีการโต้แย้งถึงประเด็นดังกล่าว วุฒิสมาชิกมิทช์ แมคคอนเนลล์ ยังได้กล่าวเสริมต่อไปอีกว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์จะต้องรับผิดชอบต่อทุกการกระทำ ขณะที่เขายังดำรงอยู่ในตำแหน่ง…”

ส่วนในการพิจารณาคดีของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ว่าจะถูกดำเนินคดีทางอาญาจากความเพียรพยายามที่จะลบล้างความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเมื่อปีค.ศ. 2020 หรือไม่นั้น ปรากฏผลออกมาในแง่ที่ทำให้เห็นว่า ประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะมีภูมิต้านทานที่ออกมาคุ้มกันทางคดีอาญาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เนื่องจากมีผู้พิพากษาบางคนออกมาแสดงความคิดเห็นที่มองดูแล้วมีผลดีต่อประธานาธิบดีทรัมป์ แต่อย่างไรก็ตามเป็นที่คาดการณ์กันว่า ศาลฎีกาจะมีการตัดสินคดีภายในเดือนมิถุนายนที่กำลังจะถึงนี้

ทั้งนี้เมื่อวิเคราะห์ในภาพรวมของผู้พิพากษาค่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับแต่งตั้งจากค่ายพรรครีพับลิกันแล้วนั้น ดูเหมือนว่าอาจจะมีจุดมุ่งหมายหลักต้องการที่จะยื้อเวลาชะลอการพิจารณาคดีของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ออกไปก่อน

แต่ก็ยังมีผู้พิพากษาสามท่านที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีในค่ายพรรคเดโมแครต ซึ่งได้แก่ “ผู้พิพากษาโซเนีย โซโตเมเยอร์”, “ผู้พิพากษาเอเลนา คาแกน”และ “ผู้พิพากษาเคตันจิ บราวน์ แจ็กสัน” ซึ่งผู้พิพากษาทั้งสามท่านต่างมีความรู้สึกวิตกกังวลในเรื่องเปิดประตูสนับสนุนและมอบโอกาสให้ประธานาธิบดีก่ออาชญากรรม  โดยไม่ต้องได้รับโทษ!

ทั้งนี้การโต้แย้งไม่เห็นด้วยของผู้พิพากษาในศาลฎีกา นับเป็นการส่งสัญญาณว่าการพิจารณาคดีของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะต้องยืดเยื้อล่าช้าออกไป โดยศาลฎีกาอาจจะส่งคดีทั้งหมดหรือบางส่วนกลับไปยังศาลชั้นต้น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงๆก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้การตัดสินคดีเกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งก็เป็นไปได้ โดย “ประธานศาลฎีกาจอห์น โรเบิร์ตส์ เบร็ตต์ คาวานอห์”และ “ผู้พิพากษานีล กอร์ชัช” ได้ออกมาให้ข้อเสนอแนะว่า “ให้ส่งคดีกลับไปยังศาลชั้นต้น เพื่อให้มีการพิจารณาคดีใหม่”

นอกเหนือจากนั้นยังมีผู้พิพากษาสองคนได้แก่ซามูเอล อาลิโตและคลาเรนซ์ โธมัสผู้พิพากษาอนุรักษ์นิยมขวาจัดซึ่งดูเหมือนจะยอมรับข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตามหลังจากมีการโต้แย้งด้วยวาจาเกือบสามชั่วโมง ผู้พิพากษาส่วนใหญ่อาจจะคิดถึงอนาคตในภายภาคหน้า โดยเกรงไปว่าหากไม่มีภูมิคุ้มกันใดๆเลยก็อาจจะเป็นภัยกับประธานาธิบดีในอนาคต

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นดูเหมือนว่าศาลฎีกาไม่ต้องการให้ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีแบบเบ็ดเสร็จ โดยโยนลูกกลับไปให้ศาลชั้นต้นสอบสวนเพิ่มเติมก่อนที่จะมีการพิจารณาคดีเกิดขึ้น และเมื่อฟังจากข้อโต้แย้งจากทีมทนายความกันดูแล้ว นับว่าฝ่ายของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มิใช่ไก่กา ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ที่ดูมีศักยภาพสูงกว่าทีมทนายความของฝ่ายรัฐบาลด้วยซ้ำไป และผลของการประชันฝีปากโต้แย้งกันนานเกือบสามชั่งโมงดูเหมือนว่า ยกนี้เป็นชัยชนะของฝ่ายจำเลยเยี่ยงอดีตประธานาธิบดีทรัมป์แบบเต็มๆเลยละครับ