นายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยชาวบ้านรอบวัดจันทร์ใน เข้ายื่นหนังสือให้ตรวจสอบการกระทำของเจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน มีการแต่งตั้งมูลนิธิทนายกองทัพธรรม จัดสรรผลประโยชน์ทำงานแทนเจ้าอาวาสชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พร้อมตั้งคำถามการขับไล่พระทั้ง 12 รูป มีการ แจ้งมายังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้ช่วยดำเนินการก่อนหรือไม่ พร้อมท้าประธานมูลนิธิฟ้องฯ กรณี ออกสื่อให้เจ้าอาวาสลงนามสั่งขับไล่พระออกจากวัดกระทำได้ไหม เนื่องจากไม่เคยมีการสอบสวนความผิดและแจ้งต่อคณะผู้ปกครองระดับสูงมาก่อน โดยชาวบ้านให้ความเห็น 4 ปีแล้วเจ้าอาวาสปกครองพระไม่ได้ สมควรลาออกจากตำแหน่งได้แล้ว
วันที่ 26 เมษายน 67 ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร นายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยทีมทนายความ และชาวบ้านบริเวณโดบรอบวัดจันทร์ใน เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานครได้เข้ายื่นหนังสือให้มีการดำเนินการตรวจสอบการกระทำของเจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน ต่อนายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยมี นางสาวชุติญา แก้วมณี รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานเป็นตัวแทนมาเป็นผู้รับหนังสือดังกล่าว
นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร นายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในการเดินทางมาพร้อมกับชาวบ้านบริเวณพื้นที่โดยรอบวัดจันทร์ใน ในวันนี้สืบเนื่องจากกรณีความขัดแย้งระหว่าง พระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ในและคณะสงฆ์ลูกวัดจำนวน 12 รูปซึ่งมีการขัดแย้งเป็นการภายในมาหลายปี กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ได้ปรากฏว่า พระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ในได้มีการมอบอำนาจให้มูลนิธิทนายกองทัพธรรม โดยนายอนันตชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิฯ ให้จัดผลประโยชน์ภายในวัด รวมทั้งให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวดำเนินการ จัดการ ให้คำปรึกษาในการบริหารจัดการวัดจันทร์ใน ซึ่งมีรายงานมอบให้กับผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อขอให้แจ้งไปยังเจ้าคณะผู้ปกครองคณะสงฆ์ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบว่าด้วยพระธรรมวินัย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 รวมทั้งกฎ ระเบียบของคณะสงฆ์ต่างๆ หรือไม่ โดยขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวยข้อเท็จจริงในประเด็น ดังต่อไปนี้
1.เจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน ทำหนังสือมอบอำนาจให้มูลนิธิทนายกองทัพธรรม ให้จัดการผลลประโยชน์ภายในวัดจันทร์ใน รวมทั้งจัดการเรื่องต่างๆ ภายในวัดจันทร์ใน เป็นการกระทำที่ชอบด้วยพระธรรมวินัย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ หรือไม่ ประการใด
2.การกระทำของเจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน ที่ร่วมกับมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ทำหนังสือไล่พระสงฆ์ จำนวน 12 รูป ออกจากวัดจันทร์ใน โดยประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม เป็นผู้ขอให้เจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน ลงนามในประกาศคำสั่งดังกล่าว และประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม เป็นผู้อ่านประกาศคำสั่งดังกล่าวต่อหน้าสื่อสารมวลชนและสื่อออนไลน์ต่างๆ เผยแพร่ไปทั่วประเทศ การกระทำดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมวินัย พระราชบัญญัติคณัสงฆ์ พ.ศ 2505 รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ หรือไม่
3.การกระทำของเจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน โดยการทำหนังสือประกาศคำสั่งขับไล่พระลูกวัดจันทร์ใน จำนวน 12 รูป ให้ออกจากวัดภายในกำหนด 2 วัน ตามข้อ 2 ไม่ปรากฏว่าพระลูกวัดจันทร์ใน จำนวน 12 รูป ได้กระทำความผิดในเรื่องใด และไม่มีการสอบสวนความผิดก่อน หากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเจ้าคณะผู้ปกครองเห็นว่าเจ้าอาวาสวัดจันทร์ในกระทำไปโดยมิชอบ และไม่ปรากฏว่าพระลูกวัดจันทร์ใน จำนวน 12 รูป ได้กระทำความผิดในเรื่องใด ขอให้เจ้าคณะผู้ปกครองให้ความเป็นธรรมกับพระลูกวัดฯ โดยการเพิกถอนประกาศคำสั่งขับไล่พระลูกวัด จำนวน 12 รูปด้วย
4.การกระทำของเจ้าอาวาสวัดจันทร์ในตาม ข้อ 1 และ 2 ผู้ปกครองคณะสงฆ เช่น เจ้าคณแขวง เขต 1 และเจ้าคณะเขตบางคอแหลม รวมทั้งเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ได้ทราบเรื่องดังกล่าวหรือไม่ และเจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน มีอำนาจทำหนังสือประกาศไล่พระสงฆ์ จำนวน 12 รูป ออกจากวัดจันทร์ในโดยไม่มีการสอบสวนความผิดก่อน ชอบด้วยพระธรรมวินัย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ หรือไม่
5.นอกจากนั้นบรรดาข้าพเจ้าทราบว่ามีเจ้าอาวาสหลายวัดได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้มูลนิธิทนายกรองทัพธรรม เป็นผู้มีอำนาจบริหารจัดการผลประโยชน์ของวัดต่างๆ หากการกระทำดังกล่าวเป็นการไม่ชองด้วยพระธรรมวินัย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ ขอให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดำเนินการแจ้งให้เจ้าคณะผู้ปกครองวัดต่างๆ ทั่วประเทศทราบด้วย
ด้านนางสาวชุติญา แก้วมณี รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า ในการรับหนังสือในวันนี้ก็เพื่อนำไปตรวจสอบว่าเรื่องที่ร้องเข้ามามีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ในสองเรื่องที่แจ้งเข้ามาในวันนี้ก็แยก ออกเป็นสองกอง ตามอำนาจหน้าที่ของเราก็คือเรื่องของศาสนสมบัติ เป็นไปในเรื่องของการจัดดูแลผลประโยชน์ การมอบอำนาจก็จะมีในส่วนที่เจ้าอาวาสได้มอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจัดได้กับที่เจ้าอาวาสจะสามารถจัดเองได้ ก็เป็นไปตามกฎกระทรวงของการจัดดูแลสาธารณสมบัติ พ.ศ.2564 ส่วนในเรื่องที่สองก็เป็นในเรื่องของส่วนคณะสงฆ์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็จะรับหนังสือไปตรวจสอบข้อเท็จจริงแต่จะต้องมีการส่งไปที่เจ้าคณะปกครองสูงนั่นก็คือเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ผลเป็นอย่างไรก็จะได้แจ้งไปเป็นหนังสือกลับไป
นายศุภภัทร์พจน์ กล่าวว่า ในการเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนในวันนี้สืบเนื่องจากการที่มูลนิธิทนายกองทัพฑธรรม ได้ รับมอบอำนาจในการเข้าดูแลจัดการภายในวัดซึ่งในอำนาจหน้าที่ตนเองเห็นว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็มี กองพุทธศาสนาสมบัติ ที่จะเข้ามาดูแลดำเนินการอยู่แล้ว การที่เจ้าอาวาสได้มีการมอบอำนาจให้ คนนอกไปดูแลซึ่งไม่น่าจะเคยปรากฏมาก่อนและก็ไม่สามารถทำได้ ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าอาวาสวัดต่างๆได้มอบอำนาจให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้เข้าไป ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการจัดการต่างๆซึ่งมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าหากจะบอกว่าจะให้สำนักงานพระพุทธศาสนาเข้ามาดูแลจัดการก็ไม่สามารถจะทำให้เรื่องจบได้ ก็เป็นเพราะไม่เคยมีการประสานงานเข้ามาให้หน่วยงานทางราชการเข้าไปดูแล
"และขอยืนยันว่าเจ้าอาวาสทั่วประเทศที่เคยมีการลงนามมอบอำนาจให้คนนอกมาดูแลบริหารจัดการในวัด ก็ไม่สามารถทำได้เพราะสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัด ก็มีหน่วยงานที่จะเข้ามาดูแลและประสานงานประสานงานโดยมีนิติกรเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงอยู่แล้ว แต่หากจะให้มอบอำนาจในการลงนามในการดำเนินการเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนั้นทำได้ แต่การมอบอำนาจให้จัดการดูแลผลประโยชน์ของวัดทำไม่ได้ผมขอยืนยัน"
นายศุภภัทร์พจน์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องกรณีที่สองคือเรื่องการที่เจ้าอาวาสวัดจันทร์ในได้มีการลงนามขับไล่พระทั้ง 12 รูปออกจากวัดทั้งที่ยังไม่กระทำความผิดก็ไม่สามารถทำได้ และท่านเองก็ไม่เคยทำการสอบสวนมาก่อนหรือมีหนังสือชี้แจงไปยังเจ้าคณะปกครองทั้งเจ้าคณะแขวง เจ้าคณะเขตให้ทราบเรื่องมาก่อน แต่กลับมีการไลฟ์สดออกทางโซเชียลโดยปรากฎว่ามีประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ทนายความ และเจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน ได้มีการไลฟ์ลงนามในการขับไล่พระทั้ง 12 รูป ออกจากวัดจันทร์ใน โดยนายอนันตชัยได้บอกให้ท่านเจ้าอาวาสเซ็นหนังสือขับไล่พระในช่วงไลฟ์สด ซึ่งไม่เคยเกิดเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งผมยืนยันว่าทำไม่ได้ แน่จริงให้ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ฟ้องร้องผมมาได้เลยเพราะผมยืนยันว่าทำไม่ได้ เนื่องจากอำนาจของเจ้าอาวาสโดยตรง และเจ้าอาวาสต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องของการกระทำความผิดก่อน หากพบความผิดต้องมีกระบวนการลงโทษตามลำดับขั้นตอน และต้องมีการแจ้ง ความผิดไปยังพระแต่ละรูปไม่ใช่เหมาเข่งแบบนี้ ซึ่งมีการปรากฏในคำสั่งว่ามีการใช้โซเชียลโจมตี แต่พระครึ่งหนึ่งในนั้นเล่นโซเชียลไม่เป็น ซึ่งฝากถึงท่านเจ้าอาวาสทั่วประเทศด้วยว่าไม่สามารถทำได้
"ผมอยากจะฝากถึงประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ท่านเองก็เป็นนักกฎหมายและคนที่นั่งอยู่ข้างท่านก็เป็นคนที่เคยบวชมาเช่นเดียวกันเหมือนกับผม มีอะไร ก็ควรจะถามนักบวชเก่าของท่านว่าอะไรทำได้หรือทำไม่ได้ และเวลาดำเนินการควรใช้ธรรมะนำหน้าอย่าใช้กฎหมายนำหน้า เช่นการไปไล่ฟ้องพระแบบนี้สำหรับผมไม่เห็นด้วยและถือว่าเป็นบาปกรรมขี้กากจะกินเอา" นายศุภภัทร์พจน์ กล่าว
ขณะเดียวกันชาวบ้าน กว่า 20 คน ที่เดินทางเข้ามาร่วมลงนามในการยื่นหนังสือได้แสดงเจตนาว่าปัญหาดังกล่าวได้เกิดขึ้นมาแล้วสี่ปี แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาอะไรได้ โดยท่านเจ้าอาวาส เคยพูดไว้ว่า ขอเวลาทดลองจัดการบริหารงานในวัด สองปี หากไม่สามารถทำได้ท่านจะลาออกไปเอง พวกเราไม่เคยต่อต้านท่าน แต่เรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นท่านเป็นคนดำเนินการเองทุกเรื่อง ตอนนี้ก็อยากจะบอกว่าถ้าท่านทำไม่ได้ก็ควรออกไป ตรงนี้พูดถึงความรู้สึกของชาวบ้านที่ทำบุญให้วัดนี้มาตลอด เพราะทุกวันนี้วัดก็ มีผู้คนมาทำบุญรถน้อยลงมากแล้ว ก็ขอฝากให้ผู้ใหญ่ช่วยเข้ามาดูแลในเรื่องนี้ด้วย