นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน โพสต์เฟซบุ๊คระบุว่า...

“จตุพร” ซัดรัฐบาลเล่นกลซ่อนเจตนากู้เงินแจกหมื่น เชื่อปั่นความหวังเคลมดิจิทัลหาเสียงนิยมให้เพื่อไทย แต่ ปท.ชิบหายแบกหนี้ก้อนโต เย้ยประชามติ 3 ครั้งไม่เคยเห็น ทำ ปชช.มึนงงเป็นปัญหาล้มกระดานแก้ รธน. ท้าปรับ ครม. ยิ่งทำ รบ.อายุสั้นเร็ว

เมื่อ 23 เม.ย. 2567 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ โดยไม่เชื่อว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะสนับสนุนโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตจำนวน 5 แสนล้านบาทของพรรคเพื่อไทย

“พรรคร่วมรัฐบาลยืนร่วมแถลงข่าวดิจิทัลนั้น เป็นเพียงเห็นชอบเชิงหลักการเหมือนกับการแถลงนโยบายเท่านั้น ยังไม่ได้สนับสนุนให้นำไปปฏิบัติ ดังนั้น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลัง ได้แต่สร้างความหวังการแจกเงินไปวันๆ แล้วประชาชนยังหลงเชื่อเช่นนั้นด้วย”

พร้อมกล่าวว่า เงิน 5 แสนล้านบาท เมื่อนำไปผูกติดกับงบประมาณปี 67-68 สิ่งสำคัญคงทำนิติกรรมอำพราง ซ่อนงบดิจิทัลไว้ในงบประมาณ 67 ไว้แล้วก็เป็นได้ เพราะยังไม่ได้นำมาใช้สักบาท แต่รัฐบาลรู้ได้อย่างไรว่า มีเงินเหลือสามารถดึงมาสมทบแจกดิจิทัลได้ 1.7 แสนล้าน พร้อมตั้งวงเงินในงบ 68 อีก 1.5 แสนล้าน เท่ากับเป็นการกู้เงินเชิงนโยบาย

อย่างไรก็ตาม แหล่งเงินดิจิทัลนำมาจาก ธกส.จำนวนประมาณ 1.72 แสนล้าน ซึ่งไม่แตกต่างจากการกู้เงินงบประมาณ 1.72 แสนล้านมาแจก และรัฐบาลก็ไปกู้มาโปะงบประมาณขาดดุลด้วยอีกทอดหนึ่ง

นอกจากนี้ ประชาชนยังแบกรับภาระดอกเบี้ยตามระยะเวลา รวมความแล้วเงินใช้คืนพร้อมดอกเบี้ยจะสูงหลายเท่าตัวโดยประมาณการ คือ ถ้ากู้ 1.5 แสนล้านอาจต้องใช้คืนรวมดอกเบี้ยถึง 1.5 ล้านล้าน จึงเป็นความน่ากลัวอย่างยิ่ง

"เราพยายามอธิบายบนหลักการที่สำคัญคือ ถ้าไม่เอาชาติบ้านเมืองจะไม่เหลือซากเลย เพราะหนี้ที่เกิดจากการกู้จะไปเสียดอกเบี้ยอีก 200% แล้วเราจะอยู่ภายใต้การปกครองประเทศแบบระบบเฮงซวยได้อย่างไรกัน"

นายจตุพร กล่าวว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยระบบแจกเงินแบบดิจิทัลนั้น ไม่ได้ไปถึงร้านค้าเล็กๆ ที่เป็นของชาวบ้านค่อนข้างชัดเจน แต่จะไปร้านค้าใหญ่สะดวกซื้อที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 1.7 หมื่นร้านได้ประโยชน์ ดังนั้น หากแจกเป็นเงินสดให้ประชาชนไปสะดวกซื้อกันเอง ร้านเล็กๆ ของชาวบ้านยังจะลืมตาอ้าปากขึ้นมาบ้าง ส่วนระบบเฮงซวยของรัฐบาล มีแต่สร้างความชิบหายให้ประเทศเท่านั้น

ส่วนการแก้ รธน. โดยรัฐบาลจะทำประชามติ 3 ครั้งนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ไม่เคยเห็นการทำประชามติ 3 ครั้งเลย สิ่งนี้จะทำให้ประชาชนมึนยิ่งขึ้นแล้วกลายเป็นปัญหา รวมถึงการสมัคร สว.ที่เกิดการไขว้กันไปมาจนยุ่งเหยิงนั้น จะทำให้เกิดโมฆะการเลือก สว.ทั้งสิ้น ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่รัฐบาลเริ่มทำมา ล้วนเป็นปัญหาและชี้ถึงปลายทางจะเป็นอย่างไร

อีกทั้งกล่าวถึงการออกกฎหมายนิรโทษกรรมทางการเมือง ว่า ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลจำนวนมากจะได้ประโยชน์สูงสุดกว่าฝ่ายอื่น อย่างไรก็ตาม หากไม่ศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อนำมาเป็นรูปแบบการดำเนินการแล้ว ย่อมยากจะมีความสำเร็จได้ ไม่เพียงเท่านั้น การปรับ ครม.ที่เป็นข่าวรายวัน ไม่รู้จะเกิดเมื่อใด แต่ถ้าปรับแล้วรับรองจะเป็นรัฐบาลอายุสั้นมาก