‘ธนาธร’ ชวนคนไทยลงสมัคร ‘สว.ประชาชน’ ขอมากที่สุดยิ่งดี ไม่ต้องรออีก 5 ปี สู้คะแนนจัดตั้ง-ปลดล็อครัฐธรรมนูญใหม่
เมื่อเวลา 13.10 น. วันที่ 22 เม.ย.2567 ที่อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า แถลงเปิดตัวแคมเปญ ‘สว.ประชาชน’ ของคณะก้าวหน้า ว่า คณะก้าวหน้าเห็นความสำคัญของการเลือกตั้ง สว.ในเดือน พ.ค.-มิ.ย.ที่จะมาถึง จึงอยากเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้มาร่วมกันลงสมัคร สว.
“วันนี้เป็นการแถลงเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ไม่ใช่ว่าเราเพิ่งเริ่มทำงาน เพราะเราได้รณรงค์เชิญชวนให้พี่น้องประชาชนมาลงสมัคร สว.ไปในหลายจังหวัดแล้วก่อนหน้านี้ ส่วนตัวตนก็มีโอกาสได้ลงพื้นที่ไปรณรงค์เรื่องนี้ รวมถึงคณะก้าวหน้าคนอื่นๆ ด้วย และในสัปดาห์หน้า เราจะทำงานกันอย่างต่อเนื่อง โดยตนจะลงพื้นที่อีสานเหนือ ในจังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดมุกดาหาร ส่วนนางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกและกรรมการบริหารคณะก้าวหน้า จะเดินทางไปจังหวัดพิษณุโลก”
นายธนาธร กล่าวย้อนกลับไปในการเลือกตั้งปี 62 ของรัฐบาลชุดนี้ ที่มีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมากมาย เพราะฝ่ายค้านในเวลานั้นเห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย ตั้งแต่ ที่มา เนื้อหา และกระบวนการ จึงมีการผลักดันร่างแก้ไขจำนวนต่างๆ เข้าสภาชุด 62 บ่อยครั้ง พร้อมยกตัวอย่างที่ได้รวบรวมและไล่เรียงความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ซึ่งมีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเดียวเท่านั้น ที่ได้รับการโหวตเห็นชอบอย่างเพียงพอ จะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ คือร่างแก้ไขวันที่ 10 ก.ย. 2564 ในการแก้ไขเรื่องระบบการเลือกตั้ง โดยเปลี่ยนจากระบบปี 62 เป็นระบบที่ใช้ในปี 66
แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมดที่มีหลักใหญ่ใจความเกี่ยวกับเรื่องอำนาจ หรือประเด็นสำคัญ กลับไม่ได้รับการสนับสนุนจาก สว.ชุดปัจจุบันเลย ทั้ง ปลดล็อค, ปิดสวิตช์, แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ หรือการปลดล็อคท้องถิ่น
“นี่คือเรื่องใหญ่มากของสังคมไทย แต่จะสำคัญอย่างไรนั้น คำตอบคือถึงแม้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่ระบอบประยุทธ์ก็ยังอยู่กับเราในรูปแบบของรัฐธรรมนูญปี 60 แม้คุณประยุทธ์ไม่อยู่แล้ว แต่ตัวระบบระเบียบที่เขาก่อร่างสร้างตัวโดยคณะรัฐประหารยังอยู่กับพวกเรา”
นายธนาธร กล่าวถึงความแตกต่างของการคัดเลือก สว.ชุดปัจจุบัน ที่ให้องค์กร และสมาคมต่างๆ ในสายอาชีพนั้น เป็นผู้เสนอชื่อ เพื่อไปคัดเลือกกันเอง ต่างกับ สว.ชุดที่กำล้งจะเลือกตั้ง ที่ให้ประชาชนสามารถลงสมัครเองได้ในสายวิชาชีพของตนเอง
“นี่คือโอกาสสำคัญที่พี่น้องประชาชนที่รักประชาธิปไตย จะเข้าไปมีบทบาท ไปมีส่วนร่วม ต่อการฟื้นฟูประชาธิปไตยของประเทศนี้ เพราะเราเห็นแล้วว่า ถ้าปล่อยให้การเลือก สว.มาจากกลุ่มคนจำน้อยเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในการเลือก สว.ที่ผ่านมา โอกาสที่จะทำให้มี สว.เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”
ดังนั้น การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้นั้น เราต้องการ 1 ใน 3 จากเสียงของ สว.ทั้งหมด 200 คน คือเราต้องการ สว.ที่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญของประชาชนอย่างน้อย 70 คน จึงจะแก้รัฐธรรมนูญปี 2560 ได้ จึงจะนำพาประเทศไทยไปสู่เส้นทางประชาธิปไตยได้
นอกจากนี้ สว.ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการเมืองไทย โดยนายธนาธร ยกตัวอย่าง การเลือกตั้งในปี 62 ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต) ใช้เวลานานกว่าจะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ และมีการเปลี่ยนแปลงการจัดตั้งรัฐบาลผ่านสูตรคำนวน สส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งส่งผลให้ต่อมา พี่น้องประชาชนร่วมกันลงชื่อเพื่อถอดถอน กกต. กว่า 900,000 รายชื่อ
“การตัดสินของ กกต.ในวันนั้น เหมือนกับการทำรัฐประหารเงียบ โดยการเปลี่ยนสัดส่วนจำนวนของฝ่ายที่สืบทอดอำนาจ และฝ่ายที่ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ เพียงแค่การตัดสินเปลี่ยนสูตรการคำนวณของตัวเอง โดยที่ไม่มีใครหยุดยั้ง ไม่มีใครทัดทานได้”
นายธนาธร ยังได้ยกตัวอย่างกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบนาฬิกาของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีฐานะเป็นรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่ง ป.ป.ช.ใช้เวลานานกว่า 1 ปี จึงตัดสินยกคำร้องในคดีนี้ โดยมีอัตราส่วน 5 ต่อ 3 ด้วยการบอกว่า นาฬิกาของพลเอกประวิตรนั้น ยืมเพื่อนมา พลเอกประวิตร ไม่ได้เป็นเจ้าของ พร้อมตั้งคำถามว่า ”การวินิจฉัยของ ป.ป.ช.เป็นการเอื้อประโยชน์และช่วยเหลือทางการเมือง เพื่อทำให้พลเอกประยุทธ์รักษาอำนาจอยู่รอดต่อไปใช่หรือไม่“
นายธนาธร กล่าวถึงอำนาจและสิทธิ์มากมายของ ป.ป.ช. อาทิ การตัดสิทธิ์นักการเมืองตลอดชีวิต พร้อมยกตัวอย่างในของกรณีของนางสาวพรรณิการ์ ที่ถูกตัดสิทธิ์ และคดีที่ ป.ป.ช. กำลังเดินหน้าสอบ 44 สส.ของพรรคก้าวไกลในข้อหาผิดจริยธรรม สส.จากการยื่นแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยตั้งคำถามว่า “ป.ป.ช.ใช้คดีความเหล่านี้ มากลั่นแกล้งนักการเมืองที่ไม่ได้ดำเนินตามที่เห็นว่าเหมาะสมหรือไม่” ก่อนจะยกตัวอย่างกรณีที่ศาลรัฐธรรมมีการตัดสินให้ยุบพรรคต่างๆ ในอดีตที่ผ่านมา
”หากย้อนกลับไป 20 ปีของการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมือง สิ่งสำคัญคือความรู้สึกสองมาตรฐาน เราอยากให้สังคมไทยอยู่ด้วยกันด้วยความปรองดองสมานฉันท์ ก็ต้องมีความเป็นธรรม ถ้าไม่มีความเป็นธรรม ประชาชนจะอยู่กันอย่างสมานฉันท์ไม่ได้ ถ้าเราอยากให้การเมืองกลับมาเป็นปกติ อยากให้การเมืองอยู่ในวิถีประชาธิปไตย ประชาชนเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา วิธีทางเดียวที่ฟื้นฟูกลับมาได้ คือทำให้องค์กรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด ทั้ง ตำรวจ, อัยการ, ศาล, ราชทัณฑ์ และองค์กรอิสระต่างๆ กลับมายืนอยู่บนความยุติธรรม ตั้งมั่นบนความเป็นธรรม นี่คือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ประเทศไทยฟื้นฟูประชาธิปไตย และคนไทยอยู่ด้วยกันอย่างสมานฉันท์ได้ ถ้าไม่มีความเป็นธรรม ก็ไม่มีการสมานฉันท์ และจะทำให้ผู้เชื่อมั่นในการเปลี่ยนแปลงสังคมใช้วิธีอื่นๆ เราจึงเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงผ่านรัฐสภาเป็นวิธีที่ดีที่สุด และสันติที่สุด“
นายธนาธร ยังกล่าวถึงอำนาจในการจัดตั้งองค์กรอิสระต่างๆ ของ สว. ว่า ถ้าองค์กรอิสระใด หรือตำแหน่งในองค์กรอิสระใด หมดอายุก่อนเดือน ก.ค. ปี 72 สว.ชุดนี้ ก็จะมีอำนาจในการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนั้นเข้ามาแทน
ในเมื่อปมพันกันอิรุงตุงนัง ขมวดกัน จนไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ดังนั้น เราสามารถถอดสลักแก้ปมนี้ได้ หากมี สว.ประชาชน สว.ที่ยึดมั่นในประชาธิปไตย ตนเข้าใจดีว่าเป็นข้อเรียกร้องที่สูงมาก เพราะต้องให้ประชาชนไปจ่าย 2,500 บาท แต่หากผู้ที่มีศักยภาพ ไม่ลงมือทำในเรื่องนี้ เราก็จะได้ สว.แบบเดิม และจะยิ่งมีประชาชนจำนวนมากไปเป็น สว.อิสระ จึงต้องอาศัยแรงจากประชาชน เพราะหากเราผลักดันไม่ได้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก้าวหน้า อีก 5 ปี ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
นายธนาธร ทิ้งท้ายว่า หากใครสนใจสมัครสามารแสดงความประสงค์ได้ที่เว็บไซต์ Senate67.com
จากนั้น นายธนาธร ได้ตอบคำถามสื่อมวลชน ถึงกรณีที่มีผู้ร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบว่าการเลือก สว. ไม่มีแนวทางป้องกันการฮั้ว นายธนาธร มองว่า กระบวนการเลือก เป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่พวกเรารณรงค์ ตนไม่อยากให้เข้าใจอะไรผิด เพราะการเลือกตั้ง เป็นหน้าที่ของเรา ให้ประชาชนที่มีศักยภาพ ไปลงสมัคร สว. ส่วนจะเลื่อนหรือไม่เลื่อน ไม่ใช่โจทก์ของเรา เพราะหากประชาชนพร้อม จะเลื่อนไปอีกเมื่อไหร่ก็พร้อม
ส่วนกรณีที่ในขณะนี้ เว็บ Senate67.com มีผู้มาสมัคร หลัก 1,000 คน นายธนาธร กล่าวว่า แน่นอน ตัวเลขจริงมีมากกว่านี้ เพราะคนที่มาสมัคร สว. ตนเชื่อว่า มี 3 ประเภท คือ 1.คนที่อยากเป็นเพื่อผลักดันประเทศ 2.ฉันเป็นก็ได้ ไม่เป็นก็ได้ และ 3.ฉันไม่เป็น สว.แน่นอน แต่ขอลงไปเพื่อโหวตให้คนที่มีศักยภาพที่เหมาะสมเข้าไป ซึ่งตนมองว่า จำนวนในเว็บ ที่ไม่เข้าชื่อ เพราะไม่จำเป็นต้องประกาศตัวเอง
ส่วนกรณีที่ ระบุว่า มีกลุ่มฮั้ว ตนไม่สามารถยืนยันชัดเจนได้ แต่ที่พอรู้มาจากการลงพื้นที่ต่างจังหวัด ชาวบ้านก็นำข้อมูลมาว่า ถูกชักชวน เช่นตอนนี้ราคาอยู่ที่ คนละ 15,000 + 2,500 บาท คือจ่ายค่าเหนื่อย 15,000 บาท บวกค่าสมัคร 2,500 บาท ส่วนในระดับจังหวัด ก็เป็นหลักแสน ในตอนนี้ ซึ่งไม่สามารถยืนยันได้ในข้อเท็จจริง แต่เป็นคำบอกเล่าจากประชาชนที่มาบอกเราให้เราฟัง
ส่วนเป้าหมายที่ระบุไว้ว่า ต้องเกิน 70 คนนั้น ตั้งเป้าผู้สมัครไว้ที่เท่าไหร่ นายธนาธร ตอบว่า ไม่มีใครวัดเป็นปริมาณได้ ว่าเราต้องการได้กี่คน ภายใต้กฎนี้ เราไม่สามารถคำนวณกับต้นทางได้ว่า จำเป็นต้องมีผู้สมัครเท่าไหร่ ดังนั้น ตนคิดว่า ต้องสมัครให้มากที่สุด ยิ่งดี แต่ต้องระดับหลักหมื่นขึ้นไป ไม่สามารถระบุชัดเจนตัวเลขได้
สำหรับกรณีที่นายสมชาย แสวงการ สว. มองว่า การรณรงค์ของก้าวไกล เข้าข่ายฮั้วนั้น ตนมองว่า เรารณรงค์ให้ประชาชนไปสมัครให้เยอะที่สุด ส่วนเขาจะเลือกใคร ก็เป็นเรื่องของเขา ขอเชิญชวนให้ไปสมัครให้เยอะกลุ่มอาชีพ เยอะอำเภอ เพื่อที่คนที่จัดตั้งกันมาจะได้ไม่สามารถส่งคนของตัวเองเข้าสู่กระบวนการได้ เพราะถ้าไม่มีคนอิสระเข้ามาเลย ก็หมายความว่าใครจัดตั้งมา ก็เข้าหมดเลย เพราะไม่มีการแข่งขัน
ส่วนกลุ่มที่จัดตั้ง คือกลุ่มใดนั้น นายธนาธร กล่าวว่า สื่อน่าจะรู้ดีกว่าตน ประชาชนก็อยากได้ข้อเท็จจริง ซึ่งจากการลงพื้นที่ บางทีก็มีชื่อบางพรรคการเมือง ถ้าหากสื่อจะทำเจาะทำข่าวนี้ ว่ามีกลุ่มไหนเข้าไปซื้อ ก็จะเป็นคุณูปการต่อประเทศ
ส่วนกรณีที่มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ สาวไส้ กรรมการป.ป.ช. โยงนายพล เป็นความล้มเหลวขององค์กรอิสระ และผู้แต่งตั้งสรรหาหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า แน่นอน ถ้าเป็นแบบนี้ ชัดเจนว่าการได้มาซึ่งกรรมการในองค์กรอิสระมีปัญหา ในเรื่องกระบวนการจริงๆ ยืนยันว่า หากองค์พระอิสระต่างๆ ครองตน และตัดสินอย่างเป็นธรรม ยึดมั่นในหลักการตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าประเทศไทยดีกว่านี้แต่ ที่เป็นแบบนี้ เพราะไม่มีคนที่ประชาชนให้ความศรัทธา ว่านี่คือความยุติธรรม ถ้าองค์กรอิสระครองไว้ซึ่งความยุติธรรม 10 กว่าปีที่ผ่านมา เชื่อว่า ประเทศไทยไม่เป็นอย่างนี้ ประเทศไทยจะดีกว่านี้
ดังนั้น คำถามนี้แสดงให้เห็นว่า การได้มาซึ่งกรรมการและองค์กรอิสระมีปัญหา และการจะทำให้ไม่มีปัญหา ก็ต้องไปคุยที่คนแต่งตั้ง คนที่มีอำนาจในการแต่งตั้ง มือที่ใช้รับรอง เพราะไม่ใช่ สส. หรือพรรคการเมือง แต่เป็น สว.