จากกรณีมิจฉาชีพใช้บัญชีอินสตาแกรม โพสต์ประกาศรับสมัครงานพิเศษรายได้ดี โดยอ้างว่าให้เหยื่อดูวิดีโอในเว็บไซต์ YouTube เพื่อเป็นการเพิ่มยอดรับชมแล้วจะได้รับค่าตอบแทน จากนั้นจะให้เหยื่อแอดไลน์เพื่อติดต่อกับกลุ่มมิจฉาชีพ โดยมิจฉาชีพจะใช้ไลน์ดังกล่าวหลอกล่อเหยื่อให้โอนเงินเพื่อลงทุนในการทำภารกิจแต่ละครั้ง ในช่วงแรกที่เหยื่อลงทุนจำนวนน้อย จะได้ผลตอบแทนเป็นกำไรกลับมาจริง ต่อมาเมื่อเหยื่อเกิดความโลภก็มักลงทุนในระดับที่สูงขึ้นเพื่อหวังผลกำไรที่สูงขึ้นตามลำดับ สุดท้ายก็ไม่สามารถถอนเงินคืนได้ทั้งหมดตามที่กล่าวอ้างตามที่ข่าวเสนอไปแล้วนั้น
 
วันที่ 19 เม.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ที่บช.สอท.  พ.ต.อ.คัมภีร์ พรหมสนธิ รอง ผบก.สอท.3 นำทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนขยายผลและวิเคราะห์เส้นทางการเงินของกลุ่มคนร้าย โดยนำไปตรวจสอบกับฐานข้อมูลการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ในคดีดังกล่าวมีการเชื่อมโยงของกลุ่มบัญชีม้าเดียวกันกับคดีอื่นอีกถึง 121 คดี และมีความเกี่ยวพันกันในหลายพื้นที่ โดยแต่ละคดี ส่วนใหญ่มีพฤติการณ์หลอกลวงในลักษณะคล้ายคลึงกัน
 
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับ โดย กก.3 บก.สอท.3 สามารถเข้าจับกุมตัว นางวรรณพร อายุ 28 ปี เจ้าของบัญชีที่เชื่อมโยงคดีอื่น 121 คดี จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่าในรอบ 6 เดือน บัญชีของผู้ต้องหามีกระแสเงินผ่านเข้าออกบัญชีกว่า 600 ครั้ง รวมเป็นเงินเกือบ 4 ล้านบาท


 
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนและสมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน”ส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.3 ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป  
 ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมอยู่ระหว่างติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการที่ยังหลบหนี รวมทั้งอยู่ระหว่างขยายผลถึงตัวการที่สร้างแพลตฟอร์มปลอมสำหรับหลอกโอนเงินดังกล่าว และขอประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชน หากพบการโฆษณาบนโซเชียลมีเดียในลักษณะที่เป็นการชักชวนโอนเงินเพื่อทำงานที่สบายแต่รายได้สูงเกินจริง ขอให้ตรวจสอบให้ดีก่อน มิเช่นนั้นอาจตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ นอกจากจะไม่ได้เงินเพิ่มแล้ว ยังอาจต้องสูญเสียเงินที่มีในครอบครองออกไปทั้งหมด