“สมศักดิ์” ปลื้ม ครม.ไฟเขียว”โคแสนล้าน” ขอบคุณ”นายกฯเศรษฐา” เห็นความสำคัญเกษตรกร-ทำตามที่หาเสียง พร้อมเดินหน้าสร้างรายได้เสริม ให้สมาชิกกองทุนหมู่บ้าน 100,000 ครอบครัว ย้ำ ผู้กู้ ไปเลือกซื้อโคเอง มั่นใจได้โคคุณภาพแน่นอน ชี้ เลี้ยง 4 ปี ใช้หนี้กองทุนได้หมด
วันที่ 18 เมษายน 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ ได้มีมติเห็นชอบโครงการ”โคแสนล้าน”นำร่อง ตามที่ตน ในฐานะประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เป็นผู้เสนอ ซึ่งตนต้องขอขอบคุณ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ที่เห็นถึงความสำคัญในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เพื่อให้มีรายได้เสริม และเพียงพอต่อการใช้หนี้ เพราะต้องยอมรับว่า สมาชิกกองทุนหมู่บ้าน กว่า 13 ล้านคน ส่วนใหญ่ยังเป็นหนี้ ดังนั้น การที่ ครม.เห็นชอบโครงการโคแสนล้านแล้ว ก็สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลไม่ได้ละเลยต่อปัญหาของพี่น้องประชาชน และกำลังทำตามแนวนโยบายที่หาเสียงไว้ให้กับประชาชนด้วย
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า โครงการโคแสนล้าน นำร่อง ครม.ได้เห็นชอบกรอบวงเงินสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. 5,000 ล้านบาท เพื่อให้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ กู้ยืม 100,000 ครอบครัว ครอบครัวละ 50,000 บาท เพื่อนำไปซื้อโค จำนวน 2 ตัว โดย 2 ปีแรก ปลอดดอกเบี้ย เพราะรัฐจะช่วยชดเชยให้ในอัตราคงที่ร้อยละ 4.50 ต่อปี รวมเป็นเงิน 450 ล้านบาท ส่วนปีที่ 3 ปลอดชำระเงินต้น แต่ให้เริ่มชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 4.50 ต่อปี ส่วนปีที่ 4 ให้ชำระต้นเงินร้อยละ 50 ของวงเงินที่กู้ยืม พร้อมชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 4.50 ต่อปี และปีที่ 5 ชำระต้นเงินส่วนที่เหลือทั้งหมด พร้อมชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 4.50 ต่อปี
“โครงการโคแสนล้าน ถือเป็นการสร้างอาชีพเสริมให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถใช้เวลาว่างจากงานหลัก มาดูแลโคได้ โดยโค มีวิธีการเลี้ยงที่ไม่ยุ่งยาก และใช้เวลาไม่มาก ซึ่งมีตัวอย่างชาวสุโขทัย เริ่มเลี้ยงโค 2 ตัว เป็นอาชีพเสริม ผ่านมา 4 ปี มีโคแล้ว จำนวน 10 ตัว หากคำนวนตามมูลค่า ตัวละ 25,000 บาท ก็จะมีมูลค่าถึง 250,000 บาท โดยจะเห็นได้ว่า เพียงพอต่อการใช้หนี้กองทุนหมู่บ้านฯ รวมถึงสามารถใช้หนี้สินส่วนตัวได้ด้วย ส่วนข้อกังวัลคุณภาพโคนั้น ผมขอเน้นย้ำว่า ประชาชน จะเป็นผู้ถือเงินไปเลือกซื้อโคคุณภาพด้วยตัวเอง จึงทำให้มั่นใจได้เลยว่า ผู้เข้าร่วมโครงการ จะได้โคคุณภาพไปขยายพันธุ์สร้างรายได้อย่างแน่นอน” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว