นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึง โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ว่า มั่นใจการแจกเงิน 10,000 บาท จะสำเร็จอย่างแน่นอนภายในไตรมาส 4/2567 โดยเฉพาะประเด็นที่สังคมเป็นห่วงว่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับทุนใหญ่ เพราะร้านค้าสะดวกซื้อสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ในส่วนของกระทรวงการคลังก็มีข้อสังเกตเรื่องนี้ แต่ข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์ก็มีเหตุผล ด้วยความเป็นรัฐคงไม่สามารถเลือกปฏิบัติได้ ซึ่งปัจจุบันในต่างจังหวัด ก็มีร้านค้ารายย่อยที่เป็นร้านสะดวกซื้ออยู่จำนวนมากเช่นกัน และร้านค้าเหล่านี้ก็รวมสินค้าอุปโภค บริโภค ทำให้เกิดการผลิต การจ้างงาน
"ขณะนี้อยู่ระหว่างการตีความ ถ้าสรุปแล้วเห็นว่าเหมาะสม มีความจำเป็นเราก็ส่งให้กฤษฎีกาตีความ ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งตนมีความมั่นใจสูงมากว่าโครงการเงินดิจิทัลนี้จะสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้"
ส่วนกรณีกระแสสังคมมีการตั้งคำถามถึงการให้สิทธิ์ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งถือเป็นกลุ่มทุนใหญ่เข้าร่วมโครงการได้นั้น กระทรวงการคลังและหลายหน่วยงานก็มีการตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้ว่า จะเป็นการเอื้อทุนใหญ่หรือไม่ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็มีเหตุผลที่ต้องรับฟังว่า รัฐบาลไม่ควรที่จะเลือกปฎิบัติได้ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้เป็นอำนาจของกระทรวงพาณิชย์ที่จะพิจารณาอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ร้านค้าสะดวกซื้อที่เข้าร่วมโครงการ เมื่อรับชำระดิจิทัลวอลเลต จากประชาชนที่ได้รับสิทธิ์แล้ว ในรอบแรกจะยังไม่สามารถไปขึ้นเป็นเงินสดได้ทันที และจะต้องนำเงินดังกล่าวไปซื้อสินค้าตรงจากผู้ผลิต เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในการนำสินค้ากลับมาขาย โดยจะขึ้นเงินได้ก็ต่อเมื่อมีการใช้จ่ายเงินดิจิทัลวอลเลตรอบที่ 2 เป็นต้นไปแล้ว โดยกำหนดให้ใช้จ่ายภายใน 6 เดือน และคาดว่าเงินจะหมุนเวียนอยู่ในระบบ 1 ปี
นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่มีการใช้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 170,000 ล้านบาท โดยมีเสียงคัดค้านว่าไม่สามารถอาจผิดกฎหมาย ไม่สามารถทำได้นั้น คนที่ออกมาพูดเรื่องนี้ ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง คนพูดไม่มีความรู้เรื่องงบประมาณ ในเรื่องนี้เป็นนโยบายกึ่งการคลัง ไม่ใช่การกู้เงิน แต่ใช้กลไกธนาคารเฉพาะกิจของรัฐในการสนับสนุนนโยบายแก้ไขปัญหาให้ประชาชน และไปตั้งงบชดเชยในภายหลัง เช่น ตั้งงบคืน ธ.ก.ส. ปีละ 60,000-80,000 ล้านบาท ใช้เวลาแค่ 3 ปี ก็ชำระหนี้ส่วนนี้ได้ครบ
"ทำไมจึงไม่เชื่อส่วนราชการที่ได้พิจารณากฎระเบียบเงื่อนไขแล้ว เห็นว่าสามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายทุกประการ เป็นไปตามกรอบอำนาจหน้าที่ และไม่มีการขยายเพดาน มาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 32% จะยังคงเป็นไปตามกรอบ อย่างไรก็ดี ในเรื่องนี้ กระทรวงการคลังกำลังดูอยู่ว่า จะมีการส่งคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาข้อกฎหมายอีกชั้นว่าสามารถทำได้ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดคาดว่าจะเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) และจบภายในเดือน เม.ย."