สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจีนยังคงเป็นความหวังสำคัญในปี 2567 เพื่อฟื้นฟูภาพรวมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยประมาณ  8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งประเมินว่าจะเดินทางเข้าไทย 3.4-3.5 ล้านคน ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ประมาณ  4 ล้านคน เนื่องจากเศรษฐกิจจีนกำลังมีปัญหา จึงทำให้รัฐบาลจีนเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ปี 2567 ดังนั้นการปลุกความเชื่อมั่น โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย รวมถึงการจัดกิจกรรมตลอดทั้งปี 2567 นี้น่าจะดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาประเทศไทยได้วันละประมาณ 30,000 คน หรือประมาณ 80% จากปี 2562  

จีนยังเลือกเดินทางมาไทยเป็นที่หนึ่ง

ซึ่ง นางสาว ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวถึง ตลาดระยะใกล้ โดยเฉพาะตลาดจีน 5 สำนักงานในความดูแลของ ททท ประกอบด้วย สำนักงานปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เฉินตู กวางโจว และคุนหมิง ซึ่งจากยอดรวมของนักท่องเที่ยวตลาดจีน ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 จนถึงต้นเดือนมีนาคม มีนักท่องเที่ยวจากตลาดเอเชียตะวันออก มีประมาณ 2.28 ล้านคน ซึ่งแบ่งสัดส่วนเป็นนักท่องเที่ยวจีนอยู่ที่ 57% หรือประมาณ 1.3 ล้านกว่าคน ส่วน ไต้หวัน 6% ฮ่องกงประมาณ 8%     

ทั้งนี้ ถ้าดูจากสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ออกไปต่างประเทศจุดหมายปลายทาง 5 อันดับแรกของจีน คือ ประเทศไทย มาเป็นอันดับหนึ่ง  2.ญี่ปุ่น 3.เกาหลีใต้ 4.มาเลเซีย 5.สิงคโปร์ อีกทั้งจากปัจจัยกระตุ้นการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ ด้วยการลงนามความตกลงยกเว้นการลงตราซึ่งกันและกันสำหรับนักท่องเที่ยวไทยและจีน หรือ วีซ่าฟรี ไทย – จีน อย่างเป็นทางการโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567  ทำให้แนวโน้มการเดินทางดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน เมืองไทยมีการจัดงานในหลายพื้นที่ของประเทศรวมทั้งเยาวราช ซึ่งเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวจีนเป็นอย่างมาก  ประกอบกับมีการจัดงานตลอดทั้งเดือน จึงทำให้ยอดนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ตั้งแต่วันที่  1 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ มีจำนวนสูงเกือบ 3 หมื่นคนถือได้ว่าอยู่ในระดับปีที่ดีที่สุด

ทำงานในกลุ่มตลาดจีนแบบเชิงลึก

อย่างไรก็ตาม นางสาว ฐาปนีย์  ยังกล่าวถึงสถานการณ์เที่ยวบินในเวลานี้ ว่า จะต้องรอดูช่วง ซัมเมอร์ซีซั่นที่ เริ่มจากเดือนมีนาคม จนถึงเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งเริ่มมีการฟื้นตัว สังเกตุได้จากมีสายการบินเข้าประเทศไทยในช่วงซัมเมอร์เป็นไปในทิศทางที่ดีมากขึ้น มีเส้นทางการบินจากประเทศจีนใน 39 พื้นที่ โดยกลุ่มแรก จะมาจาก เมืองปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น ขณะกลุ่มที่ 2 และกลุ่มที่ 3 มาจากเมืองรอง  ซึ่งเป็นเมืองใหม่ๆที่มาเพิ่มเที่ยวบิน เช่น เทียนจิน ฮูฮั่น และหนานจิง มีเที่ยวบินจำนวนมาก รวมทั้งหมเ 39 พื้นที่จะมาจากสายการบิน 34,452 เที่ยวบิน มีที่นั่ง 64 ล้านที่นั่ง

ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวเมื่อมาดูสัดส่วนในเรื่องของสนามบิน ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร ทั้งที่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และดอนเมือง ส่วนต่างจังหวัด เช่น สนามบินเชียงใหม่ ภูเก็ต และสนามบินสมุย ที่รองรับสายการบินของจีนแบ่งออกเป็นในกรุงเทพมหานครจะมีจำนวนมากสุดประมาณ 26,464 กว่าเที่ยวบิน ที่เชียงใหม่ประมาณ 2,756 เที่ยวบิน ภูเก็ต 5,161 เที่ยวบิน และสมุย 51 เที่ยวบิน

ดังนั้นเวลานี้ทางททท.จึงพยายามทำงานในกลุ่มตลาดจีนแบบเชิงลึกมากขึ้น โดยจะทำงานในรูปแบบองค์รวมครอบคลุมทุกเทศกาล ทุกฤดูกาลของตลาดจีนทั้งระยะสั้น และระยะยาว เรียนรู้พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจันทุกกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยได้ทุกรูปแบบ 

ตอบโจทย์ 3ข้อรองรับนทท.จีน

นางสาว ฐาปนีย์  ยังกล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่คนจีนให้ความสำคัญมากๆ และเป็นนโยบายของจีนส่งผ่านมาทาง ททท.เพื่อบอกรัฐบาลของไทย ในเรื่องความปลอดภัยในสุขอนามัย ทรัพย์สิน และชีวิตของนักท่องเที่ยวเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง อันที่สองคือคุณภาพของสินค้าบริการ และกิจกรรมทางการท่องเที่ยว อันที่ 3 คือ ประสบการณ์ทางการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจีนจะได้รับ ซึ่งเป็นแคมเปญททท.ได้จัดทำขึ้นก่อนหน้านี้ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างมีความหมาย ใน Amazing Thailand : Your Stories Never End  ด้วยเรื่องราวดีๆ ที่ไม่มีวันจบสิ้น สำหรับตลาดต่างประเทศ

ดังนั้นจึงต้องมาดูว่า ถ้าต้องตอบโจทย์ใน 3 ข้อที่กล่าวมา คือ ความปลอดภัย คุณภาพสินค้า และประสบการณ์ที่ดีจึงต้องมาดูว่า นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาประเทศไทย โครงสร้างพฤติกรรมมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด ขณะที่ โครงสร้างทางการตลาดได้รับรู้กันแล้วว่า มีการเปลี่ยนแปลงไปโดยบริษัททัวร์เริ่มลดน้อยลง แต่มีทัวร์เอ็กคลูซีฟมากๆ เกิดขึ้นแทน และนักท่องเที่ยวกลุ่ม FIT เติบโตมากขึ้นประมาณ 80%

“นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเองบางคนมาเป็นกลุ่มทัวร์เล็กๆ  เป็นกรุ๊ปทัวร์ที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน เช่น ทัวร์อาหาร ทัวร์ประสบการณ์ ทัวร์สายลุย ทัวร์เมืองรอง ทัวร์สายมู ซึ่งเป็นรูปแบบโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไป เป็น subculture movements หรือการเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมย่อย ที่มาเป็นกลุ่ม FIT แต่ผ่านบริษัททัวร์โอเปอร์เรเตอร์   อันที่ 2 คือ การเข้าไปในทุกโซเชียลมีเดีย ทุกเทคโนโลยีแพลตฟอร์มเพื่อที่จะตอบโจทย์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีนให้ได้  ต้องรู้ให้ทันกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว  

ส่วน อันที่ 3 คือ การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ จะเน้นในเรื่องของการให้ประสบการณ์ในการเพิ่มเติมในเรื่องของแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่ไปแล้วเหนือความคาดหมาย อันที่ 4 เน้นในเรื่องความปลอดภัย โดยมีการทำงานร่วมกับตำรวจท่องเที่ยว ทำงานร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง มีแอปพลิเคชั่นที่สามารถตอบสนองเป็นภาษาจีนได้เลย ร่วมกับทัวร์โอเปอเรเตอร์ชั้นนำของจีน สุดท้ายมีเพิ่มเติมในเรื่องของพื้นที่ใหม่ๆ กิจกรรมใหม่ๆ และหาความสนใจที่หลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆซึ่งเป็นอันซีนมานำเสนอ

เน้นความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว 

อย่างไรก็ตาม นางสาว ฐาปนีย์  กล่าวว่า เวลานี้นักท่องเที่ยวจีน ใช้เวลาในเมืองไทยโดยเฉลี่ย 7-8 คืนต่อทริป ซึ่งทางททท.พยายามที่จะทำให้นักท่องเที่ยวจีนใช้จ่ายเวลาในประเทศไทยมากกว่านี้ หรือถ้าใช้เวลาน้อยกว่านี้ แต่จะต้องมีความถี่ในการเดินทางเพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นแน่นอน ว่า ถ้าการใช้เวลาเพิ่มมากขึ้น รายได้ต่อทริปก็จะต้องเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าใช้เวลาน้อยลง แต่มีความถี่ที่เพิ่มมากขึ้นในการเดินทางมาท่องเที่ยวในทุกฤดูกาลท่องเที่ยว ในทุกๆ พื้นที่ก็จะได้รายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งในสิ่งนี้ทางททท.จะเน้นย้ำมาโดยตลอด

ในเรื่องของเทรนด์ที่จะต้องไปต่อในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน คือ เน้นในเรื่องของความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ความเป็นยูนิค ความแปลกใหม่ และเน้นในเรื่องของความอิสระการผ่อนคลาย รวมถึงในเรื่องของการสืบค้นอะไรใหม่ๆ เป็นความแปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งจะเป็นการลงลึกถึงประสบการณ์ที่พบเจอเจอในชุมชน  อัตลักษณ์ท้องถิ่น  เป็นต้น

ด้วยข้อมูลต่างๆ จึงทำให้ททท.เวลานี้ทำตลาดจีนด้วยการเน้นที่ 3Q คือ Q1   นักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ พร้อมเดินทาง และมีพลังการจับจ่าย Q2 คือ  คุณภาพของแหล่งท่องเที่ยว Q3 คือ เน้นในเรื่องการดูแล ความเอาใจใส่ในการบริการ โดยมุ่งเจาะไปที่ เจน Z  กลุ่มยัง เอฟไอที เดินทางมาเองด้วยการหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต และสามารถที่จะเดินทางมาเองได้ไม่ติดเรื่องเวลาสามารถเดินทางได้ตลอด  

อีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มครอบครัวที่มาทั้งหมดทุกเจน ซึ่งจะมาท่องเที่ยวในเส้นทางธรรมชาติ  สายศรัทธา และอีกกลุ่มหนึ่งที่ทิ้งไม่ได้ คือ กลุ่มไมซ์ ซึ่งตอนนนี้เข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มอินเซ็นทีฟนี้เข้ามาหลายรูปแบบทั้งกลุ่มเกษตร กลุ่มเทคโนโลยี  เป็นต้น ซึ่งทางททท.จะให้การรับรองในหลายๆ ส่วน โดยมีแคมเปญทางการตลาดนำเสนอ ภายใต้ชื่อ “เที่ยวเมืองไทย ยิ่งไปยิ่งสนุก”

โดยมีการเชิญอินฟลูเรนเซอร์ชาวจีนเข้าร่วมเมกะแฟมทริปเดินทางมาสัมผัสเมืองไทยในช่วงปลายปี 2566  ได้นำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวดีๆ ในไทยด้วยตัวเอง เป็นการทำให้ภาพลักษณ์ด้านลบบนโลกออนไลน์หายไปเกือบหมด  รวมไปถึงการได้ลงนามความร่วมมือ กับโซเชียลแพลตฟอร์มหลายๆ ช่องทาง ของจีนทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภาพลักษณ์ สร้างความมั่นใจให้กับตลาดจีน และการออกทราเวลเทรดโชว์ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรในส่วนของภาคเอกชนไทย ซึ่งทางการจีนก็ได้ต้อนรับทีมไทยอย่างเต็มที่ ซึ่งจะมีการร่วมงานอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

สำหรับเป้าหมายนักท่องเที่ยวในตลาดจีนปี 2567 ตั้งไว้ที่ 8 ล้านคน ซึ่งตอนนี้จีนเข้ามาประมาณวันละ 17,000-20,000 คน โดยในช่วงพีคสุดจะอยู่ที่  28,000-29,000 คน เพราะฉะนั้น ตัวเลข 8 ล้านคนจึงเป็นไปได้ โดยจะมาจากปัจจัยมาจากการทำตลาด สร้างความเชื่อมั่น และมีการจัดกิจกรรมตลอดทั้งปีนั้นเอง