เมื่อเวลา 16.20 น.วันที่ 14 เม.ย. 2567 ที่ชายหาดหัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แม้ยืนยันว่ายังไม่ปรับ ถ้าหากปรับ จะปรึกษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือไม่ว่า ในความเห็นประชาชนหลายล้านคน ในประวัติศาสตร์จะเห็นว่า นายทักษิณเป็นนายกฯที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ เรื่องการปรับครม. ตนได้แถลงไปแล้ว หากจะมีการปรับต้องมีการพูดคุย ทั้งเลขาธิการนายกฯ หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล และหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้วย
เมื่อถามว่า หลังสงกรานต์จะมีการพูดคุยกับพรรคร่วมเลยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “แน่นอนครับ”
เมื่อถามต่อว่า จะเป็นการพูดคุยในลักษณะส่งสัญญาณ หากพรรคไหนต้องการจะปรับสามารถแจ้งได้เลยใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า หากจะมีการปรับก็ต้องมีการพูดคุยกันเป็นการทำงานที่ให้เกียรติซึ่งกันและกันอยู่แล้ว
เมื่อถามย้ำว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่นายกฯ จะควบตำแหน่งรมว.กลาโหม นายเศรษฐา กล่าวว่า ทุกออฟชั่นมีความเป็นไปได้หมด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและเอาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นที่ตั้ง เอาการทำงานของคนให้ถูกฝาถูกตัวเป็นที่ตั้ง ตรงนี้มีความเป็นไปได้หมด
เมื่อถามว่า ยังมีปัจจัยอะไรอีกที่จะทำให้นายกฯ ควบตำแหน่ง รมว.กลาโหม นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่อยากจะเจาะจงกระทรวงไหน เป็นการพูดในหลักการคร่าวๆ มากกว่า หากจะไปทำงานหรือมีการโยกย้ายไม่ใช่เฉพาะตนเองคนเดียว รัฐมนตรีท่านอื่นก็ต้องดูให้ถูกคน เราก็รับฟังความคิดเห็นของประชาชน แม้แต่สื่อมวลชน บอกว่าบางคนทำงานยังไม่ถูก ยังไม่ดีพอ อ่อนในหลายด้าน รวมถึงการสื่อสาร ด้านการประสานงาน ทุกข้อคิดเห็นตนนำมาพิจารณาหมด หากจะมีการปรับ ครม.
เมื่อถามต่อว่า นายกฯ คือผู้มีอำนาจจรดประกาศเซ็น การปรับครั้งนี้จะเป็นการปรับใหญ่เลยหรือไม่ เพื่อจะขับเคลื่อนงบประมาณไปยาวๆ
นายกฯ กล่าว อย่างที่บอกว่าตนไม่อยากจะเจาะจง ว่าปรับใหญ่ปรับเล็ก หรือปรับใครไม่ปรับใครบ้าง เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการพูดคุยและผลงานของแต่ละคนด้วย
เมื่อถามว่าการปรับรอบนี้จะถูกฝาถูกตัวเลยใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนอะไรต้องค่อยๆเป็น ค่อยๆไป พรุ่งนี้มะรืนไม่ได้บอกว่าจะมีการปรับ หากจะมีการปรับต้องมีความชัดเจนว่ามีความเหมาะสม ถูกต้องถูกเวลา แต่อาจจะต้องมีหลายท่านต้องพิสูจน์ตัวเอง ยังต้องการเวลาในการทำงานอยู่ เพื่อให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ และคิดว่า หากจะมีการปรับก็คงปรับเรื่อยๆ ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
เมื่อถามว่า ปรับครม.ครั้งนี้จะไม่มีแรงกระเพื่อมที่ต้องตามแก้ภายหลังใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ อ๋อ ไม่มั่นใจครับ ถ้าบอกว่าทุกอย่างไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีความกระเพื่อม มีความไม่สบายใจก็ต้องทำไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้บอกว่าจะมีการปรับนะ ”
เมื่อถามต่อว่า แรงกระเพื่อมในพรรคเพื่อไทยค่อนข้างเยอะ การปรับครั้งนี้จะทำให้แรงกระเพื่อมในพรรคลดลงหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ไม่แน่ใจครับ ผมไม่ทราบเหมือนกัน ผมเอาปัญหาประชาชนเป็นที่ตั้ง และเอาการทำงานเป็นที่ตั้ง ผมเชื่อว่าทุกท่านเข้าใจ ปรับออกไปแล้วก็ปรับเข้ามาใหม่ได้ มันแล้วแต่วาระของเหตุการณ์ในปัจจุบัน อย่างเหตุการณ์ปัจจุบัน อาจต้องการบางบุคคลเข้าไปช่วยงานในสภา พอสภาแข็งแกร่งท่านอาจจะกลับเข้ามาใหม่ก็ได้ มันไม่ใช่เป็นอะไร ที่จบแล้วจบเลย ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ในอดีตทุกท่านก็ทราบดีอยู่แล้วว่า การปรับ ครม.ก็มีการปรับเข้า ปรับออก เปลี่ยนกระทรวงไปแล้วกลับไปกระทรวงเดิมก็ยังเป็นไปได้ ตรงนี้อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยครับ ถ้ามันเกิดขึ้นเดี๋ยวค่อยมาว่ากันดีกว่า”
เมื่อถามว่า รัฐมนตรีแต่ละคนถือว่ามีโปรไฟล์ฟสูง ทำงานมา 7 เดือนแล้วถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องพิจารณาปรับ ถ้าทำงานไม่เข้าเป้า นายกฯ กล่าวว่า เรื่องปรับครม. ตนพูดไปเยอะแล้ว ความจริงไม่ได้ปรับภายในวันหรือสองวันนี้ ถ้าพูดไปเรื่อยก็แรงเกิดแรงกระเพื่อมไปเรื่อย จุดประสงค์ใหญ่ ถ้ามีการปรับครม.ก็ปรับให้ถูกฝาถูกหน้าที่ ไม่ใช่แค่ดูที่รัฐบาลอย่างเดียว ต้องดูที่ระบบรัฐสภาด้วย ว่ามีความแข็งแกร่งขนาดไหน ต้องการคนช่วยเหลือตรงไหนบ้าง แน่นอนว่าเอาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นที่ตั้ง 7 เดือนที่แล้วกับวันนี้สถานการณ์ต่างกัน บางอย่างเรายังทำไม่ดีพอ บางอย่างเราคิดว่าทำได้ดีแล้ว ก็ต้องมาพิจารณาทั้งหมดโดยรวม
เมื่อถามอีกว่า แม้นายกฯจะบอกว่า 314 เสียง แข็งแกร่งแล้ว แต่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังมีการไปพูดคุยกับนายทักษิณ จึงมีคำถามกลับมาว่ามีโอกาสหรือไม่ที่พรรคประชาธิปัตย์จะร่วมรัฐบาล นายกฯ กล่าวว่า นายทักษิณเป็นผู้ที่มีความอาวุโสทางด้านการเมืองสูง มีเพื่อนฝูงในวงการเยอะการที่จะไปทานข้าว พูดคุยกับใคร เชื่อว่าจุดมุ่งหมายคือประชาชนเป็นหลักฉะนั้นการจะไปกินข้าวกับใคร สามารถตีความได้หลายอย่าง หากถามโดยส่วนตัวของตนไม่เคยพูดคุยกับใคร แม้แต่ไปเจอกับนายชัยชนะเดชเดโช สส.นครศรีธรรมราชและ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ไม่ได้มีการพูดคุยกัน ที่ นายชัยชนะมาวันนั้นก็มาในฐานะเจ้าของพื้นที่ ซึ่งมีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไป ไม่ได้มีการพูดถึงว่าจะมาเข้าร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด