เรื่อง :ชนิดา สระแก้ว

หมายเหตุ: “ไชยชนก ชิดชอบ”  สส.บุรีรัมย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ทีมข่าวการเมืองสยามรัฐ” เปิดใจหลังรับตำแหน่ง “เลขาธิการพรรคคนใหม่” ของพรรคภูมิใจไทย ต้องขับเคลื่อนภารกิจสำคัญ รวมทั้งเหตุผลที่ตัดสินใจลงเล่นการเมือง และความรู้สึกดีใจที่เป็น “ลูกชาย” ของ "เนวิน ชิดชอบ" ครูใหญ่แห่งพรรคภูมิใจไทย และย้ำว่าจะทำให้ดีกว่าเดิม

-เหตุผลที่ตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมือง

ตอนแรก ขอบอกจริง ๆว่าเกลียดการเมืองมาก ช่วงนั้นการเมืองค่อนข้างรุนแรงและดุเดือด แม้จะเรียนอยู่เมืองนอก แต่ปิดเทอมก็กลับมาบ้านทุกครั้ง ได้เห็นคุณพ่อทุกข์ทรมาน หลายเรื่องเราต้องผ่านมาในช่วงเวลานั้น ถูกทหารตามจับ ชีวิตยิ่งกว่าหนัง แต่ผมเข้าใจดีว่าคุณพ่อมีเจตนาที่อยากเปลี่ยนแปลง และพัฒนาในจังหวัดและประเทศ แม้จะไม่ชอบการเมืองแต่ก็เข้าใจ แต่พอโตขึ้นมาแล้วสิ่งที่คุณพ่อ คุณแม่สร้างไว้ สิ่งที่ท่านได้สอน และสิ่งที่ทานไม่มีในวันที่ท่านโตขึ้นมา ผมเองก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้หลายอย่างให้กับประเทศไทย โดยไม่ต้องเข้าเล่นการเมือง

ผมจึงมีความรู้สึกมากเข้าไปอีกว่าแล้วเราจำเป็นต้องเข้ามาเล่นการเมืองไหม ในเมื่อเราสามารถเปลี่ยนอุตสาหกรรมฟุตบอล เปลี่ยนการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอี-สปอร์ตพาเด็กไทยไปเป็นแชมป์โลก แต่ละอย่างที่ผมทำจนทำให้จังหวัดบุรีรัมย์จากอันดับ 3 มาเป็นจังหวัดที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับต้น ๆ ทุกอย่างล้วนแต่ผมทำในฐานะเอกชน ทำให้ผมไม่อยากมาเล่นการเมือง

แต่พอมาถึงจุดหนึ่งเราก็คิด คุณพ่อ คุณแม่เขาก็มาจีบตลอด แต่ไม่ได้บังคับ เขาให้เราตัดสินใจเลือกเส้นทางของเราเอง แต่ผมก็คิดในจุดหนึ่งว่าถ้าเรามีความสามารถทำได้ขนาดนี้ หากมาลองทำดูในฐานะนักการเมืองจะทำได้ขนาดไหน  แต่อะไรที่เป็นจุดเปลี่ยนทำให้ผมลองสักตั้งก็คือพรรคก้าวไกล พรรคอนาคตใหม่ ที่เขาทำให้ประชาชนหันมาสนใจการเมืองมากขึ้น ตระหนักถึงสิทธิ์ทางการเมืองมากขึ้น และทำให้ประชาธิปไตยมีวิวัฒนาการ ทำให้คนลุกขึ้นมาสนใจ ทำให้เกิดพลังของประชาธิปไตยถูกขับเคลื่อน และในคำว่าเจนใหม่ทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่รู้สึกเข้าไม่ถึง และมีความสั่นคลอน

เหตุผลที่ผมไม่อยากเข้ามา เพราะเข้ามาแล้วต้องเป็นหุ่นเชิด หรือเข้ามาแล้วไม่สามารถคิด ตัดสินใจ หรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ผมทำในสิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้ต่อไปก็มีประโยชน์ต่อประเทศมากกว่า แต่พอผู้ใหญ่เขารู้สึกว่าเขาเข้าไม่ถึงตรงจุดนี้จริงๆแม้จะมีประสบการณ์และเข้าใจมากมาย แต่เขาสื่อสารไม่ถึงคนรุ่นใหม่

ผมคิดว่าถ้าเราลองดูสักตั้ง ถ้าผมเข้ามาแล้วเป็นตัวของตัวเองแล้ว แม้ไม่เหมือนนักการเมือง ไม่ดีหรือไม่เวิร์กหรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผมก็แค่กลับมาทำในสิ่งที่ผมทำมาก่อนหน้านี้ แต่ผมเห็นแล้วว่ามีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงได้ผมจึงตัดสิน จึงตัดสินใจว่าลองดูสักตั้ง

-ตอนนั้นคิดจะไปอยู่พรรคก้าวไกล ไม่ใช่พรรคภูมิใจไทย

ไม่มีเลย เพราะมุมมอง ความคิดเห็นในหลายๆเรื่องแตกต่างกัน ที่ชอบคือพรรคก้าวไกลสามารถจุดประกายให้ประชาชนสนใจการเมืองและลุกขึ้นตระหนักถึงสิทธิของตัวเองสามารถที่มีส่วนในการตัดสินใจและขับเคลื่อนประเทศได้ เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน ไม่ใช่แค่นักการเมือง พรรคการเมือง เขามีสิทธิและมีส่วนร่วมได้จริง ๆเป็นสิ่งที่ผมชอบ

แต่ก็มีหลายที่ไม่ใช่สไตล์ของผม ไม่ใช่ว่าครอบครัวผมมีความผูกพันกับพรรคภูมิใจไทย แต่ในเชิงของดีเอ็นเอต่างกันโดยสิ้นเชิง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องการเกณฑ์ทหาร ผมเห็นด้วยระบบที่ผ่านแล้วมีสิ่งที่เป็นขาดตกบกพร่อง แต่ระบบทหารทำให้ดีขึ้นได้ และมีประโยชน์ได้ เพราะอาชีพนี้ในประเทศอังกฤษและอเมริกา เป็นอาชีพที่แย่งกัน และแข่งกันเข้า ทั้งฝึกและสอบแข่งขันกัน เพราะสวัสดิการดี การที่จะเป็นรั้วของชาติต้องเสียสละหลายอย่าง

เพราะฉะนั้นควรจะเป็นอาชีพที่ต้องมีสวัสดิการที่เหมาะสม เพี่อที่จะคัดคนที่มีศักยภาพ และพร้อมที่จะเสียสละเพื่อชาติจริงๆ ซึ่งต้องยอมรับว่าระบบปัจจุบันยังไม่มีตรงนี้ แต่การที่จะไม่มีทหารเลยเป็นไปไม่ได้ เพราะจะทำให้เกิดความไม่มั่นคง ความไม่ปลอดภัยที่จะทำให้ต่างประเทศรู้สึกว่าเราอ่อนแอ และไม่ว่าเราจะเกิดเหตุหรือไม่เกิดเหตุ หรือได้ใช้หรือไม่ได้ใช้ ผมมองว่ามีก็ยังดีกว่าไม่มี 

-การตัดสินใจสุดท้ายที่เข้ามาเล่นการเมืองเพราะคุณพ่อขอร้อง

คุณพ่อขอมาทั้งชีวิต เขารอผมตัดสินใจ โดยดูจากองค์ประกอบต่างๆที่จังหวัดบุรีรัมย์เพิ่มจาก 8 เขตเป็น 10 เขต การเปลี่ยนแปลงทางประชาธิปไตย การเมือง และผู้ใหญ่เปิดใจมุมมองความคิดของคนรุ่นใหม่มากขึ้นทำให้ผมตัดสินใจว่าจะลอง

-พอเข้ามาเล่นการเมืองแล้วเป็นอย่างไร

ผมพูดได้ไม่เต็มที่เพราะเห็นเพียงส่วนเดียว ผมเห็นจากการทำงานในสภาฯ สัมผัสจากสมาชิกพรรคการเมืองอื่น การทำงานในคณะกรรมาธิการ การทำงานของครม. แต่ผมยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ทุกคนพูดว่าการทำการเมืองแบบใหม่ พรรคฝ่ายค้านก็พูดจะทำการเมืองแบบใหม่ แต่ผมเห็นการทำงานในสภาฯไม่สร้างสรรค์ ไม่รู้ว่าใหม่หรือเก่า และไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนจริง

แต่สิ่งที่ผมพูดได้เต็มปาก 100 เปอร์เซ็นคือการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคภูมิใจไทย ผมพูดได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล ตั้งแต่วันที่ผมได้ก้าวเข้ามา วันแรกที่ผมก้าวเข้าภูมิใจไทยกับวันนี้แตกต่างกันเยอะ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ตัวผมเองที่เป็นส่วนร่วม เป็นเพียงกลไกอันหนึ่ง พร้อมกับคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ชุดเก่า ผู้หลักผู้ใหญ่ และสส.ทั้งเก่าและใหม่ เราทำด้วยความจริงใจและความทุ่มเท และจะส่งแรงกระเพื่อมให้ทุกคนปรับตัวโดยปริยาย

-ตำแหน่งแม่บ้านพรรคถือเป็นตำแหน่งสำคัญ จะวางแนวทางพรรคภูมิใจไทยอย่างไร

ผมเข้ามาคนอาจจะไม่เข้าใจ และคิดว่าเราต้องรู้เรื่องการเมืองแน่ ผมเข้ามาทำงานต้องดูที่ตัวเองก่อน พัฒนาตัวเอง เรียนรู้ ทำให้เต็มที่ ผมมีทัศนคติอย่างหนึ่งว่าไม่เห็นด้วยกับการที่เราเห็นเป้าหมายแล้วพุ่งชน ผมคิดว่าเรามองเห็นเป้าหมายได้ ถ้าอยากให้ไปถึงเป้าหมายได้ก็ต้องมองที่ตัวเอง พัฒนาตัวเอง แล้วดึงดูดเป้าหมายให้เข้ามาหาเรา ดึงดูดความสำเร็จให้มาหาเรา ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นความทุ่มเทของผมก็ทยอยเข้ามาช่วย เข้ามาสนับสนุน

สิ่งที่ผมได้เล็งเห็นตั้งแต่เราเป็นพรรคเล็ก มาเป็นพรรคขนาดกลาง และตอนนี้มาเป็นกลางกึ่งใหญ่ เราไม่เคยมีการเปลี่ยนโครงสร้างระบบการทำงานในพรรคเลย  ถ้าเหมือนบริษัทยิ่งโตก็ต้องมีระบบเพื่อให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และดึงศักยภาพบุคลากรในองค์กรออกมาได้มากขึ้น หากไม่ได้ปรับไม่มีทางที่เราจะดึงศักยภาพของสส.ออกมาได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และสส.มีถึง 71 คนไม่พอ ซึ่งสส.ที่รอดมาได้ในในสมัยนี้ต้องยอมรับเลยว่าทุกคนมีของ และเก่ง เพราะกระแสที่ผ่านมาถ้าไม่มีของไม่รอดแน่นอน

เท่ากับว่าเรามีศักยภาพเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆจาก 20 คนมาเป็น 50 คน มาเป็น 71 คน แต่เราไม่สามารถดึงเขาออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนได้ เพราะเราไม่มีระบบ ผมคิดว่าตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ และเป็นสิ่งที่ผมให้ความสนใจและเริ่มการเปลี่ยนแปลง และตอนนี้เซ็ตมาแล้ว และจะให้ทุกคนได้เห็นชัดเจนขึ้นในวันที่ 14 พ.ค. ตอนนี้ถ้าสังเกตจะการทำงานและบรรยากาศในสภาฯว่าพรรคภูมิใจไทยคึกครื้นและทำงานมีความสุข สนุก และร่วมมือกันทำงานไปพร้อมกับการพัฒนาตัวเอง และการทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนมาก ๆ

-การตัดสินใจครั้งนี้มีความเป็นอิสระเต็มที่ในการวางแนวทางการทำงานพรรค ไม่มีใครสั่ง

ยอมรับตอนแรกๆเป็น ถ้าจะบอกไม่เป็นก็โกหก แต่ผมอยากเป็นตัวตนของผมเอง แต่ผมมองว่าคุณพ่อ คุณแม่ ก็พยายามที่จะไม่ให้ลูกตัดสินใจเอง หรือทำอะไรนอกกรอบ สังคมไทยจะตีกรอบแบบนี้เยอะ แต่ล้วนแล้วมาจากความเป็นห่วงเป็นใย ไม่อยากทำให้ลูกทำอะไรผิดพลาด และไม่อยากให้ผิดพลาดเหมือนที่เขาเคยเจอมา อยากให้เขามีอนาคตที่ดี ที่มั่นคง มีการเติบโต ผมมองว่ามีเจตนาที่ดี

แต่ถามว่าพ่อแม่ทุกคนอยากปล่อย  ผมเชื่อว่าอยากทุกคน  แต่เขาจะรอดูว่าเราพิสูจน์ตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน และทำให้เขาสบายใจแค่ไหนที่จะปล่อย ก่อนหน้านี้ตลอดชีวิตก็ผ่านบริบทการพิสูจน์มาทีละนิดทีละหน่อย พอเข้ามาการเมืองมันเป็นพื้นที่ที่ผู้ใหญ่ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคทุกคนเซียน และมีประสบการณ์เยอะมาก พวกเราเองก็ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้เขามั่นใจว่าเราสามารถที่จะรับผิดชอบและตัดสินใจด้านไหนบ้าง วันนี้พูดได้เลยว่าแทบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นรอดูผลงานที่จะออกมาว่าเป็นการตัดสินใจของกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่จริงๆ

-เรื่องงาน ต้องผ่านการอนุมัติ จากคุณพ่อ (เนวิน ชิดชอบ) หรือผู้ใหญ่ในพรรคหรือไม่

ช่วงแรกๆมีสิ่งที่เขาไม่เห็นด้วย แต่วันนี้เขาบอกว่าลุยต่อไปได้เลย ล่าสุดผมเพิ่งอัพเดทงานกับคุณพ่อ เล่าให้ฟังว่าทำอะไรไปบ้าง คุณพ่อตอบว่าครับๆๆ ดูเหมือนผมไปกึ่งดุกึ่งอะไรเขา เพราะแต่ก่อนเขาจะตั้งการ์ดก่อนเสมอเวลาเราจะอัพเดทงาน แต่ตอนหลังเขาพูดแค่ครับ ครับผม เพราะฉะนั้นเป็นช่วงจังหวะเวลาที่ผมคิดว่าเราทยอยพิสูจน์ตัวเองมาเรื่อยๆ

เพราะคุณพ่อเขาเหนื่อยมาก ทุ่มเทเพื่อคนอื่นมาโดยตลอด เขาอยากปล่อยทั้งฟุตบอล ทั้งแข่งรถ การเป็นกำลังหลักในการพัฒนาจังหวัดบุรีรัมย์ ให้พวกเราและพี่น้องประชาชน เขาอยากปล่อยทุกอย่างอยู่แล้ว วันนี้ผมรู้สึกว่า พวกเราเริ่มเติบโตขึ้นมา ในทุกๆด้าน ทำให้เขาปล่อยได้เรื่อยๆ รู้สึกดีใจเหมือนกันที่เราเริ่มแบ่งภาระเขาได้จริงๆ ในหลายๆเรื่องมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้นผมเป็นแค่หนึ่งในฟันเฟืองของพรรคภูมิใจไทย เพราะผมมาจากศูนย์และทุกคนมาช่วยสอน ผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคทั้งหมด ทุกคนสอนผมหมด ทุกคนเปิดใจขอให้แค่ผมวิ่งไปถาม ผมแค่ขยับทุกคนพร้อมให้ความรู้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาตัวผม ในอีก บทหนึ่งของชีวิต

-ในฐานะเลขาธิการพรรคจะนำพาไปให้เป็นพรรคใหญ่ ในฐานะลูกคุณเนวินต้องทำให้ได้เหมือนพ่อ เลยถูกกดดันหรือไม่

ผมมีเป้าที่จะทำให้พรรคสามารถปฏิบัติหน้าที่ในสถานะสถาบันการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นำมาปัญหาปรับแก้และตอบโจทย์ให้พี่น้องประชาชนและประเทศให้มากขึ้น เพื่อนำไปสู่ผลพลอยได้ว่าพรรคจะโตขึ้น เพราะฉะนั้นถามว่าโจทย์นี้ยากไหม ถ้าทุกคนไม่ได้เห็นสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในพรรคมองว่ายากมากและเป็นไปไม่ได้ แต่ใครที่ได้สัมผัสและได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในพรรคภูมิใจไทยในตอนนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนจะบอกเลยว่าอย่างไรก็เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ภูมิใจไทยไม่มีวันเหมือนเดิมแล้ว ยืนยันจะเป็นแบบใหม่ที่ไม่เคยมีใครสัมผัส

ผมคิดว่าจะทำได้ดีกว่ายุคคุณพ่อ ไม่ใช่เพราะผมเก่ง แต่สิ่งที่ปู่ อา พ่อ กรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคทุกท่าน ผมมีต้นทุนมหาศาล และหนึ่งในนั้นก็คือตัวคุณพ่อเอง คอยสอน คอยแนะนำ แม้จะปล่อยเพิ่มขึ้นทุกวัน ผมรู้สึกว่าถ้าผมทำได้ไม่ดีกว่า ทำให้พรรคสามารถช่วยเหลือประเทศได้มากกว่าในช่วงที่พ่อทำขึ้นมา ไม่เกี่ยวกับขนาดใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง ถ้าผมทำให้พรรคช่วยเหลือประเทศ ช่วยเหลือชาติได้ไม่มากเท่ารุ่นปู่ รุ่นพ่อ ผมคิดว่าไม่ประสบสำเร็จ ต่อให้พรรคจะใหญ่ขึ้นก็ตาม

-คาดหวังกับการเมืองไทยได้มากน้อยแค่ไหนในฐานะนักการเมืองรุ่นใหม่

ในมุมมองผมการเมืองพัฒนาไปมาก ในเชิงเกมการเมืองภายในพรรคการเมืองอาจจะไม่มาก จากที่ผมได้สัมผัส จริงๆหัวใจของการเมืองคือประชาชน เมื่อประชาชนเปลี่ยนไป นักการเมือง พรรคการเมือง ข้าราชการจะปรับตัวได้ทัน และทำมันอย่างจริงใจและตั้งใจเพื่อประชาชนหรือเปล่า ถ้าปรับตัวไม่ได้ภายในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยวัฏจักรของพรรคการเมืองอาจจะล้มหายตายจากไปหลายพรรค พรรคไหนที่ปรับตัวไม่ทันก็จะอยู่ไม่ได้

สิ่งที่ทำให้ผมอกหัก และเจ็บจี๊ดในใจที่สุดกับประเทศไทยทุกวันนี้ คือความแตกแยก ซึ่งมีต้นตอมาจากผู้มีอิทธิพลในการสื่อสาร ผมไม่ได้พูดถึงพรรคการเมืองหรือนักการเมือง เพราะกระบวนการคิดในทุกระดับ ทุกองค์กร เวลาจะเอาชนะใคร มักจะไม่มองการพัฒนาตัวเอง แต่จะมองหาจุดอ่อน ข้อบกพร่องของคน กลุ่ม หรือพรรคที่เราอยากจะเอาชนะ มาจุดประกายเกิดพลังความเกลียดชัง และเกิดพลังลบ เอาตรงนี้ไปด้อยค่าคู่ต่อสู้แล้วทำให้ชนะ สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย ผลเสียมากที่สุดต่อประชาชน และประเทศชาติมากกว่า

เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่พวกผมอยากจะทำทุกอย่างด้วยความจริงใจ เป็นกลาง ไม่ว่าคนจะเข้าใจพวกผมในวันนี้หรือไม่ ผมจะทำด้วยความตั้งใจ ทุ่มเทและจริงใจ เพื่อที่ว่าจะมีพลังบวก จะเลิกสื่อสารเรื่องลบๆถ้าไม่จำเป็น จะเห็นว่าเราไม่เคยออกไปปะทะหรือไปฟาด หรือพูดในเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับใคร แต่ถ้าจำเป็นต้องพูดเราจะพูดว่าเรื่องนี้มันดีกว่านี้ได้ ตรงนี้ยังก่อปัญหาได้อยู่ ถ้าเกิดแบบนี้มองมุมนี้แล้วหรือยัง เพื่อให้เป็นประโยชน์มากขึ้น

การทำงานแบบนี้จะได้เห็นมากขึ้นเพราะผมเซ็ตระบบเรียบร้อยแล้วในสมัยประชุมหน้า ทั้งงานในสภา และจะเชื่อมโยงไปถึงการทำหน้าที่ในครม.ด้วย เราจะทำงานนิติบัญญัติมากขึ้น เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้กระทรวงต่างๆ ต้องทำงานเร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ทันฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องรอติดตามชม เพราะทุกอย่างล้วนมาจากความจริงใจ หลายๆอย่างเราเห็นด้วยก็บอกว่าเห็นด้วยกับฝ่ายค้าน สิ่งที่เราไม่เห็นด้วยกับพรรคร่วมรัฐบาลก็บอกว่าไม่เห็นด้วย และแนะนำสิ่งที่ดีกว่า แต่เราไม่ทำแบบที่ว่าแย่จังเลย ไม่ดีเลย หรือเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ไม่ใช่ 

แต่เราจะเสนอทางออกที่อาจจะดีกว่าและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ได้ไปตีเขาหรือบอกว่าไม่ดี แต่เราจะบอกว่าอันนี้จะเวิร์คกว่าไหม หรือตรงนี้ดีแล้ว เสริมตรงนี้หน่อยไหม  จะเป็นการทำงานแบบที่ร่วมกันทำงาน ช่วยกันทำงาน จะเริ่มทำเป็นตัวอย่าง และหวังว่าสิ่งที่ทำจะได้รับการตอบรับจากประชาชน และทำให้พรรคอื่นๆส่งแรงกระเพื่อมให้เขาเปลี่ยนการทำงานไปด้วย ถ้าเราเริ่มทำงานแบบนี้ได้มันสะท้อนไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นอนาคตประเทศไทยทำอะไรก็ไม่ไกลเกินเอื้อม

- หลายคนเริ่มจับตามองว่าคู่ชิงของพรรคภูมิใจ คือพรรคก้าวไกล

ผมไม่เคยมองพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย หรือมองพรรคอื่น ผมมองที่พรรคเรา ต้องทำตัวเราให้มีศักยภาพ มีประสิทธิภาพมากที่สุด และตอบโจทย์พี่น้องประชาชน ด้วยสิ่งที่เรามี ผมไม่ได้เอาคนอื่นเป็นเป้า หรือเป็นคู่แข่ง เราแข่งกับตัวเอง มันเสียเวลาถ้าเราจะมองคนอื่น เพราะมันเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เราเปลี่ยนแปลงหรือปรับเขาไม่ได้ เราทำตัวเราได้

เพราะฉะนั้นเราโฟกัสและต้องปรับตัวเรา แล้วถ้าวันหนึ่งเขาอยากจะร่วมงานกับเรา หรือเห็นในศักยภาพของเรา  หรือเขาอยากเปิดและมาทำงานร่วมกันกับเรา แล้วจะส่งผลพลอยได้ให้พรรคเราแข่งกับพรรคอื่นมากขึ้น ตอนนี้เหมือนคนเป็นไข้หวัดลาม วิธีการคือลามไปที่ไหนก็ติด ค่อยๆติดเป็นวงกว้างไปเรื่อยๆภายในพรรค ทุกคนมีไฟในการทำงานสนุกสนาน มากจนผมเหนื่อยไม่ลง

เพราะฉะนั้นถือเป็นการกดดันมากๆ เพราะทุกคนคาดหวังในตัวผม เพราะฉะนั้นในวันนี้การตัดสินใจอะไรของผมถ้าผิดพลาดไม่ได้กระทบแค่ตัวผม แต่ส่งผลกระทบต่อสมาชิกพรรค พี่น้องประชาชนที่เลือกเรามาถือว่ากดดันมหาศาล การขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย แต่แรงกดดันเหล่านั้นผลักดันให้ผมดันตัวเอง พัฒนาตัวเอง และขยันเรียนรู้จนในวันนี้ผมรู้สึกว่าเรียนรู้เร็วมาก สำหรับคนที่มาจากศูนย์ในระยะเวลา 1 ปีกว่ามาถึงจุดนี้ได้ และผมจะทำอย่างนี้ไปอีกยาว และอนาคตไปถึงจุดไหนก็ขอให้ติดตามเชียร์ และเป็นกำลังใจให้ด้วย