วิกฤติฝุ่นพิษ! จ.เชียงใหม่ยึดอันดับ 1 เมืองหลักคุณภาพอากาศเลวร้ายที่สุดในโลกต่อเนื่อง ขณะที่“เขียงใหม่” ประกาศให้ทำงานที่บ้าน “เวิร์คฟอร์มโฮม” 3 วัน ด้าน“นายกฯ” สั่งยกระดับแก้วิกฤติPM2.5 เร่งบูรณาการผ่าน 9 มาตรการ จับคนเผาป่าทุกกรณี-ส่ง“กต.”เจรจา “เมียนมา-ลาว” ลดเผา 

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 9 เม.ย.67 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงมาตรการแก้ปัญหาPM2.5 ที่จ.เชียงใหม่ ว่า ให้กำชับยกระดับปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในสถานการณ์วิกฤติปี67 โดยให้หน่วยงานต่างๆ เร่งบูรณาการผ่าน 9 มาตรการ ได้แก่ 1.ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับผู้ว่าฯ และทหารในพื้นที่ ลาดตระเวนพื้นที่เสี่ยง จากกลุ่มบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้ลักลอบเข้าป่าทุกกรณี 2.ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำกับดูแลบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด 3.ให้กระทรวงมหาดไทย สั่งการทางจังหวัด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกับ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ จัดชุดปฏิบัติการเฝ้าระวังลาดตระเวนพื้นที่เสี่ยงต่อการเผา 4.ให้ผู้ว่าฯ ประกาศเขตความร่วมมือช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน และประกาศ Work From Home ตามความจำเป็น เพื่อลดปัญหากระทบกับสุขภาพประชาชน

5.ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาตัดสิทธิ์รับการช่วยเหลือชดเชยต่างๆ จากภาครัฐ หากตรวจพบว่ามีการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมของตนเอง 6.ให้กระทรวงเกษตรฯ เพิ่มความถี่ปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อป้องกันและบรรเทาสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน ฝุ่นละอองโดยเร่งด่วน ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงจัดหาเฮลิคอปเตอร์ช่วยเหลือดับไฟป่า 7.ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดชุดเคลื่อนที่ ลงเยี่ยมบ้านดูแลสุขภาพประชาชน อย่างทั่วถึงและทันท่วงที และสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลในกลุ่มเสี่ยง 8.ให้สำนักงบประมาณ พิจารณาสนับสนุนงบกลาง ให้แก่จังหวัดเพื่อให้ทันต่อการแก้ไขปัญหาในช่วงสถานการณ์วิกฤติ ปี 67 ตามความเหมาะสม และจำเป็นเร่งด่วน และ9.กรณีหมอกควันข้ามแดน ขอให้กระทรวงต่างประเทศ ร่วมมือเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมา และลาว ให้ลดการเผาป่าอย่างทันที ตั้ง KPI ให้ชัดเจน
“ในช่วงบ่ายวันนี้ จะมีการประชุมบูรณาการกำจัดไฟป่าของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นประธาน และจะมีแถลงการณ์ต่อไป”

ขณะที่ เพจเฟซบุ๊ก "สำนักประชาสัมพันธ์เขต 3 กรมประชาสัมพันธ์" โพสต์ระบุว่า #เชียงใหม่ประกาศข้อแนะนำแนวทางมาตรการป้องกันและลดผลกระทบกรณีฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เกินค่ามาตรฐานต่อเนื่อง โดยให้ดำเนินการ 3 วัน 9-11 เม.ย.67 โดย 1. ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งนำระบบการทำงานที่บ้าน (Work from Home) มาใช้โดยต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการประชาชน และใช้ช่องทางการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นช่องทางในการปฏิบัติงาน 2.ขอความร่วมมือสถานบริการ สถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการ ร้านอาหารพิจารณาให้บริการห้องปรับอากาศเป็นอันดับแรก เพื่อลดผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) 3.ขอความร่วมมือให้บริษัท ห้างร้าน สถานประกอบการ พิจารณาอนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้าน (Work from Home) หรือทำงานผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในส่วนที่ไม่กระทบต่อกิจการของบริษัทห้างร้าน สถานประกอบการ เพื่อลดการออกนอกเคหสถาน 

4.ขอความร่วมมือประชาชน และนักท่องเที่ยว ปรับลดกิจกรรมนอกบ้าน ในช่วงเวลาที่ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) เกินค่ามาตรฐาน และหากมีความจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ขอให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว สวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ทุกครั้ง 

5. ขอความร่วมมือกลุ่มเปราะบาง (เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว) ลดหรืองดกิจกรรมนอกบ้าน 6. ให้หน่วยงานของรัฐ พิจารณาเปิดบริการห้องลดฝุ่นให้แก่ประชาชน 7. ให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ยังมีการเรียนการสอน 8. ให้หน่วยงานภาครัฐที่มีสวนสาธารณะในความดูแล พิจารณาปิดพื้นที่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง

ส่วน เว็บไซต์ Iqair.com ซึ่งรายงานคุณภาพอากาศจากทั่วโลก แจ้งผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศและการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษทั่วโลก เมื่อเวลา 08.00 น. วันนี้ พบว่า จ.เชียงใหม่มีดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ที่ 197 US AQI และค่า PM 2.5 วัดค่าได้ 145 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐาน และอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อทุกคน โดยผลการตรวจวัดคุณภาพอากาดังกล่าวอยู่ในอันดับที่ 1 ของเมืองหลักที่มีมลพิษอากาศสูงสุดของโลก ขณะที่อันดับ 2 ได้แก่ คูเวตซิตี้ ประเทศคูเวต ดัชนีคุณภาพอากาศ 194 US AQI และอันดับ 3 กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล 191 US AQI