เมื่อเวลา 12.35 น. วันที่ 8 เม.ย.2567 ที่ จ.นครศรีธรรมราช นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังมีกระแสข่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเวลานี้พรรคร่วมรัฐบาลเงี่ยหูฟัง หรือจะปิดประตูตอนนี้เลยว่า “ผมก็ปิดตัวมาตลอด ไม่มีใครต้องมาเงี่ยหูฟัง เมื่อสักครู่ได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ก็ไม่ได้มีการพูดจาอะไรในเรื่องนี้ ถามผมโดยตรงได้เลย
เมื่อถามว่า มีการมองกันว่าโควต้าในส่วนของพรรคเพื่อไทย ยังเหลืออีกหนึ่งตำแหน่ง นายกฯ กล่าวว่า เรายังมีอีกตำแหน่งที่เหลืออยู่ ตรงนั้นเดี๋ยวค่อยไปว่ากันเมื่อถึงเวลา
เมื่อถามว่า พรรคประชารัฐ (พปชร.) ส่งในส่วนโควต้าที่เหลือมาหรือยัง นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังเลย และยังไม่ได้เจอ ยังไม่ได้พูดคุย ซึ่งวันที่ 9 เม.ย. จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามปกติ หากเจอร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชารัฐ ตนก็จะไม่ถาม แต่ถ้าท่านบอกมาก็จะรับทราบ พร้อมย้ำว่าอย่างที่ได้บอกว่าเป็นโควต้าของพรรคพลังประชารัฐ หากจะเสนอใครก็เสนอเข้ามาและผ่านไปที่คณะกรรมการตรวจสอบ
เมื่อถามว่า หากจะส่งสัญญาณไปยังพรรคร่วมรัฐบาล อยากจะส่งสัญญาณอะไร นายเศรษฐา กล่าวว่า สัญญาณตนส่งมาโดยตลอด และให้ความสำคัญปัญหาประชาชน ฉะนั้นพวกท่านทราบกันดีอยู่แล้ว ท่านมีวุฒิภาวะที่สูงกันทุกคนแล้ว ก็ทราบว่าความต้องการของประชาชนในปัจจุบันคืออะไร และการที่ตนลงพื้นที่ครั้งนี้ก็จะไปดูเรื่องยางพารา
เมื่อย้ำว่า โควตาพรรคเพื่อไทยที่ยังเหลืออยู่ ได้มีการพูดคุยกันบ้างหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ภายในพรรคก็จะคงจะมีการพูดคุยกัน เดี๋ยวเขาก็คงเสนอขึ้นมา
เมื่อถามว่า ใจของนายกฯ หากมีการปรับ ครม. อยากจะปรับเล็กหรือปรับใหญ่ นายเศรษฐา กล่าวว่า สื่อถามเหมือนจะมีการปรับ และหลอกล่อให้ตนพูด
เมื่อถามอีกว่า มีการมองกันว่าหากปรับใหญ่แรงกระเพื่อมจะสูง อาจจะปรับเฉพาะตำแหน่งที่ว่าง และจำเป็นจริงๆหรือ นายเศรษฐา กล่าวว่า เหมือนกับคำพูดที่ว่าคนรวยคนจน ตรงไหนคือคนรวย ตรงไหนคือคนจนใช่หรือไม่ ถ้าตนบอกปรับเล็ก แล้วปรับเล็กคืออะไร คือ 3 ตำแหน่งหรือ 6 ตำแหน่ง บางคนบอกว่า 6 ตำแหน่งก็ยังเล็กอยู่ อย่าไปพูดว่าเล็กหรือใหญ่เลยดีกว่า ไว้ถึงเวลาเหมาะสมเกิดขึ้นแน่นอน
เมื่อถามว่า การตัดสินใจปรับ ครม. หรือไม่ ขึ้นอยู่กับนายกฯ หรือจำเป็นต้องปรึกษาใคร หรือจะให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล นายเศรษฐา กล่าวว่า การทำงานของตนตั้งแต่เป็นนักธุรกิจมา จนกระทั่งก้าวสู่เวทีการเมือง ตนให้เกียรติเพื่อนร่วมงานทุกคน ฉะนั้นการจะทำอะไรต้องมีการพูดคุย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่แน่นอนว่าตนเป็นคนจรดปากกาเซ็น
เมื่อถามว่า มีการมองกันว่านายกฯ เป็นคนทำงานที่เด็ดขาดอย่าเอาอะไรมาขู่ เพราะอาจจะถูกปาดคอได้ นายเศรษฐา หัวเราะ พร้อมกับกล่าวว่า “ผมว่า ทุกรัฐมนตรี ทุกพรรคการเมืองที่ร่วมกัน เขารู้อยู่แล้วว่า การทำงานร่วมกันมันไม่มีการขู่ เรามีการพูดคุยกันดีๆ อยู่แล้ว เพราะผมเป็นคนที่เข้าถึงได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทาง WhatsApp โทรศัพท์ หรือในที่ประชุม ครม. มีอะไรก็พูดกันตรงๆ ผมไม่ได้มีอะไรเลย และผมก็ต่อสายตรงถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ตลอด ท่านเองก็ไม่เคยขู่ผม ซึ่งผมเองก็ไม่เคยขู่ท่าน ผมว่าเป็นวิธีเดิมๆโบราณๆจะเอาอะไรก็พูดกันตรงๆ ดีกว่า ก็มีการปรับปรุงแก้ไขกันไประหว่างทางอย่างนี้เชื่อว่าผลประโยชน์สูงสุดก็จะตกอยู่ที่ประชาชน
นายเศรษฐา กล่าวว่า ที่ตนมาวันนี้ทุกๆพรรคก็มา ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่ได้มี สส.ที่นี่ มันก็เป็นปมทางใจของตนนิดหน่อย แต่ตนก็ไม่ได้มีอะไร และยังพูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายชัยชนะ เดชเดโช สส.จังหวัดนครศรีธรรมราช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็พูดคุยกันดี และยังได้เจอคุณแม่ท่าน และ สส.พรรคภูมิใจไทย ก็มาด้วยกัน 2 คน และ สส.พรรคพลังประชารัฐก็มาจากตรัง ซึ่งไม่ได้แยกพรรคแยกสีอะไรเลย
วันนี้เมื่อเราเป็นรัฐบาลแล้ว ทุกท่านทราบดีอยู่ปัญหาของประชาชนเยอะเหลือเกิน งบประมาณก็เพิ่งผ่านมา 2 สัปดาห์ ซึ่งเราก็ต้องมานั่งพูดคุยกัน ขณะที่สส.ตรัง ก็ได้นำโครงการมาเสนอ และตนได้ยื่นให้กับนางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม เพื่อให้ไปพิจารณาดูต่อซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญสูงสุดอยู่แล้ว