นายกฯ ลงพื้นที่สมุย กินแกงไตปลาโชว์สื่อ ยกนิ้วโป้งบอกอร่อยมากรสชาติถูกปาก เผยทุกคนมีสิทธิ์จะไม่ชอบ ด้านเด็กพท.ยันสมาชิกไว้ใจ"อุ๊งอิ๊ง"เป็นผู้นำพรรค โดยได้พิสูจน์ตัวเอง เสียสละและทุ่มเททำงาน ไม่ได้อยู่ที่นามสกุลชินวัตร ขณะที่ซูเปอร์โพลเผยปชช.เชื่อการเมืองไทยเข้าสู่เฟสพายุการเมืองร้อนระอุ เหตุวิกฤติศรัทธาผู้นำการเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้เดินทางตรวจราชการอ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และจ.นครศรีธรรมราช ระหว่างวันที่ 6 - 8 เม.ย.67 โดยเมื่อช่วงค่ำวันที่ 6 เม.ย. นายเศรษฐาพร้อมคณะ ได้เดินทางถึงอ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมพักค้างคืน ก่อนปฏิบัติภารกิจแรกวันที่ 7 เม.ย. เวลา 10.30 น. นายกฯ เดินทางด้วยรถยนต์โตโยต้าอัลพาร์ด ทะเบียน ขง 4 สุราษฎร์ธานี มาติดตามโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) ที่แหลมนิคม ต.ตลิ่งงาม อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
หลังจากลงพื้นที่ตรวจราชการที่เกาะสมุย ในช่วงเช้าเวลา 12.10 น. นายเศรษฐาได้พักรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารชื่อดังของเกาะสมุย (เสบียงเล) โดยหนึ่งในเมนูจานโปรดที่ทางร้านจัดให้คือแกงไตปลา โดยนายกฯ ได้นั่งร่วมโต๊ะกับบรรดารัฐมนตรีที่มาคอยต้อนรับและร่วมเดินทางมาด้วย พร้อมชิมแกงไตปลา และพูดว่า อร่อยมากครับ ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้ และว่า รสชาติที่ถูกปาก
ผู้สื่อข่าวถามว่า รับประทานแล้วจะบอกอะไรกับคนที่จัดอันดับแกงไตปลาหรือไม่ นายกฯ ตอบว่า ไม่ขอตอบโต้ เพราะเขามีสิทธิ์ที่จะไม่ชอบ แต่ผมชอบ อย่างที่บอกว่าฝรั่งก็มีอะไรหลายอย่างที่แตกต่างจากเรา ซึ่งเราก็ยอมรับได้ ไม่ใช่ว่าเค้าชอบบางอย่างหรือไม่ชอบบางอย่าง เราไปบอกเขาไม่ได้ และย้ำว่าอาหารไทยมีเยอะ ต้มยำกุ้ง แกงมัสมั่นไก่ ก็ติดอันดับโลกทั้งนั้น
เมื่อถามว่า การรับประทานแกงไตปลาจำเป็นจะต้องรับประทานกับข้าวสวยหรือรับประทานเปล่าได้เลย นายกฯ ตอบว่า ผมทานได้ พยายามไม่ทานข้าวเพราะลดน้ำหนักอยู่ ที่ชอบเพราะผมชอบทานอาหารรสจัด จากนั้นรัฐมนตรีท่านอื่นที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารก็กินแกงไตปลาโชว์ พร้อมกับชมไม่ขาดปากว่า อร่อยจริงๆ ไม่ได้อร่อยเล่นๆ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่นายกฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X ก่อนเดินทางลงพื้นที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และจ.นครศรีธรรมราช ระหว่างวันที่ 6-8 เม.ย. ว่า แกงไตปลาที่สมุยและที่นครฯ ร้านไหนเด็ดแนะนำด้วยครับ พรุ่งนี้ ผมจะไปติดตามเรื่องน้ำประปาขาดแคลน และปัญหาขยะล้นเกาะที่สมุย ต่อด้วยเรื่องสินค้าเกษตรและยางพาราที่นครศรีธรรมราช อยากหาร้านแกงไตปลาอร่อยๆ ทาน จะได้ช่วยกันรีวิวให้ TasteAtlas ทราบว่าแกงไตปลาและอาหารใต้ คืออาหารยอดนิยม และยอดเยี่ยมของบ้านเรา
สำหรับความเคลื่อนไหวทางการเมือง วันเดียวกัน น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงกรณีคำกล่าวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ระบุ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีดีเอ็นเอความเป็นผู้นำมาจากบิดามารดา และสามารถประสบความสำเร็จได้ทางการเมืองจนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ว่า การประสบความสำเร็จของพรรคเพื่อไทยอยู่ที่นโยบายที่เข้าถึงพี่น้องประชาชน ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย นโยบายหลายนโยบาย ไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่พรรคเพื่อไทยทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นจริงมาแล้ว ทั้งในอดีต 30 บาทรักษาทุกโรค มาถึงในยุคปัจจุบัน ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ครอบคลุมโรคมากขึ้น รับยาใกล้บ้าน คิวไม่ต้องรอ และยังสร้างโลกแห่งอนาคตด้วยดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจดิจิทัลให้ประเทศ ในวันที่ 10 เม.ย.นี้
น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า ผลสำเร็จของนโยบายพรรคเพื่อไทยเกิดจากการทำงานของบุคคลภายในพรรค บวกกับบุคลิกของผู้นำที่เปิดกว้าง รับฟังและเน้นการมีส่วนร่วม คือหัวใจสำคัญของคนเป็นผู้นำอย่างนายทักษิณ และน.ส.แพทองธาร ที่ทุกคนในพรรคสัมผัสได้ วันนี้น.ส.แพทองธารตั้งแต่เข้ามาเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยได้พิสูจน์ตนเองให้เห็นถึงความเสียสละและทุ่มเทอย่างต่อเนื่อง จนสมาชิกพรรคยอมรับ ไม่เกี่ยวว่าจะกำเนิดจากใคร แต่ทั้งหมดมาจากผลงานที่ทำ
"และวันนี้ คุณอิ๊งก็ได้พิสูจน์ตนเองในฐานะผู้ผลักดันนโยบายและขับเคลื่อน Thailand Creative Culture Agency (THACCA) ที่จะทำให้เห็นว่าซอฟต์พาวเวอร์ในชีวิตประจำวันที่คนไทยเองอาจไม่เห็นว่ามีคุณค่า ทั้งดนตรี ภาพยนตร์ สิ่งทอ และอีกหลายแขนง จะมีมูลค่าในสายตานานาชาติอย่างไร"
น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า การที่ผู้นำฝ่ายค้าน และนักวิชาการบางคนตีความความสำเร็จของคนเพียงมองจากการเป็นลูกของใครนั้น ไม่สามารถมองเป็นอื่นได้ นอกจากการดิสเครดิต ด้อยค่าความสำเร็จของพรรคเพื่อไทยที่ประชาชนสัมผัสได้ โดยเชื่อมโยงกับตัวบุคคล และไม่สนใจผลงานที่ผู้นำแต่ละท่านผลักดัน และทำให้เกิดขึ้น จนนำไปสู่การยอมรับของสมาชิกพรรค
"ดีเอ็นเอของอดีตนายกฯ ทักษิณ และคุณหญิงพจมานที่หล่อหลอมน.ส.แพทองธารขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยได้นั้น ไม่ได้อยู่ที่นามสกุลชินวัตร หรือชาติกำเนิดจากใคร แต่อยู่ที่การเลี้ยงดูให้เป็นบุคคลที่กล้าคิด กล้าตัดสินใจ แม้จะเคยผ่านประสบการณ์ดูถูกดูแคลนและเป็นเหยื่อหลังการรัฐประหาร แต่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนนี้ คือผู้ที่สมาชิกพรรคเพื่อไทยมั่นใจและไว้วางใจให้ถือธงนำพรรค เพราะหัวใจเราคือประชาชน"
ด้าน นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ระบุว่า พรรคการเมืองพรรคหนึ่งจะอยู่ช้าอยู่นานประการใดไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่เป็นพรรคการเมืองของประชาชนหรือไม่ พรรคการเมืองของประชาชนคือ พรรคการเมืองที่ มีจุดยืนอยู่กับผลประโยชน์ของประชาชนข้างมากของประเทศ เป็นปากเสียงของประชาชนข้างมากของประเทศ และทำการต่อสู้เพื่อประโยชน์ของประชาชนข้างมากของประเทศ เพราะเป็นพรรคการเมืองของประชาชน ดังนั้นประชาชนจึงสนับสนุน และเข้าร่วมการต่อสู้จนถึงที่สุด
พรรคการเมืองชนิดนี้จึงดำรงคงอยู่และไม่มีใครกวาดล้างหรือล้มลงไปได้ ถ้าหากไม่ใช่พรรคการเมืองของประชาชนแต่เป็นพรรคของใครคนใดคนหนึ่งเพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง พรรคการเมืองนั้นอยู่ไปวันหนึ่งก็หนักแผ่นดินวันหนึ่ง หนักหัวของประชาชนไปวันหนึ่งหาประโยชน์อันใดไม่ได้ ไม่ช้านานไม่ประชาชนก็ทหาร ผู้รักษาบ้านเมือง ก็จะโค่นล้มลงไป
ผมเคยพยากรณ์คุณอุ๊งอิ๊งไว้เมื่อตอนเปิดตัวทางการเมืองครั้งแรกว่า มีเป้าหมายชัดเจนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่จะยังเป็นรัฐมนตรีไม่ได้ จะต้องอาศัยเวลาอีกระยะหนึ่ง ซึ่งวันนี้ก็เป็นดังคำพยากรณ์นั้น คุณอุ๊งอิ๊งในวันนี้ก็เหมือนกับหลี่เซียนลุง ในวันที่ลีกวนยูแห่งสิงค์โปร์ ให้โกะจ๊กตง ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคั่นเวลาไว้ เพื่อให้มีเวลาสร้างสมประสบการณ์ ด้วยความใจเย็นจนมีความพร้อมแล้วลีเซียนลุงก็ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อมาจนถึงวันนี้ แต่ดูท่ากรณีของคุณอุ๊งอิ๊งแล้ว กำลังมีการเร่งฟืนเร่งไฟ จนน่าห่วงว่าถ้าไม่ดิบก็จะไหม้เสียก่อน ระวังอย่าให้กลายเป็นพ่อแม่รังแกฉัน เพราะวันนี้ชัดมากว่าสารพัดความอยากของใครต่อใครที่ทุ่มใส่คุณอุ๊งอิ๊ง ไม่ต่างกับคบไฟที่โยนใส่คุณอุ๊งอิ๊งนะครับ
ในห้วงเวลารอวันนั้น การศึกษาอบรมจิตใจให้ตั้งอยู่ในพระธรรม ให้มีความรักประเทศชาติและราษฎร จะทำให้ชีวิตเย็นไม่ร้อน และเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันภัยจากไฟแห่งอำนาจไม่ให้เผาผลาญได้
นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ให้สัมภาษณ์สื่อระบุว่าตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ไม่มีข้อไหนให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมือง ว่า ก่อนที่นายชัยธวัชจะออกมาพูดแบบชัดถ้อยชัดคำนั้นได้ศึกษาและดูรายละเอียดข้อกฎหมายในรัฐธรรมนูญมาก่อนแล้วหรือไม่ จะเป็นไปได้หรือ ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะยื่นคำร้องไปโดยไม่ทราบว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจ ตนเชื่อว่ากกต.ผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการตรวจสอบพรรคการเมืองนั้น รู้บทบาทและข้อกฎหมายเป็นอย่างดี และล่าสุดอดีตกกต. ก็ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า นายชัยธวัช น่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อนและหาก กกต.พบว่ามีพรรคการเมืองที่มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครองสามารถส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้ทำการยุบพรรคได้ รวมถึงตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคโดยไม่ได้กำหนดกรอบเวลาด้วย
ส่วนการออกมาพูดว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจยุบพรรค เหมือนเป็นการลดทอนความเชื่อมั่นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า ตนไม่ทราบเจตนาเบื้องลึกของนายชัยธวัช ว่าต้องการอะไรกันแน่ แต่ขอเรียกร้องให้ทั้งนายชัยธวัช และพรรคก้าวไกลไม่ก้าวล่วงอำนาจศาล ที่มีอำนาจหน้าที่ โดยชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่เป็นการสร้างความสับสน ไม่ไปลดทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมลง มองว่าทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันหากทำผิดก็ต้องรับโทษ ซึ่งเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน
คุณชัยธวัช เรียนกฎหมายเป็นถึงทนายความ ก่อนจะพูดอะไรต้องไตร่ตรองและตรวจสอบความถูกต้องให้ดี ไม่ควรพูดเพื่อสร้างความสับสน ทำให้ประชาชนเกิดความไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ จึงไม่แน่ใจว่าคุณชัยธวัชมีเจตนาใดแอบแฝงหรือไม่ จึงขอเรียกร้องให้ทุกคนเคารพกฎหมาย หากทำผิดก็ต้องยอมรับ ไม่ควรไปก้าวล่วงศาล หรือใช้วาทกรรมด้อยค่านายธนกร กล่าว
ขณะทื่ สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง พายุการเมืองระอุกับวิกฤตศรัทธา กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น จำนวนทั้งสิ้น 1,178 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 1 6 เม.ย.ที่ผ่านมา
ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 77.0 มองว่า บรรยากาศการเมืองจะร้อนระอุ สู่ความขัดแย้งรุนแรง ในขณะที่ร้อยละ 23.0 ระบุไม่เลย และเมื่อแบ่งออกตามเพศ พบว่า ชายส่วนใหญ่หรือร้อยละ 80.3 มองว่าบรรยากาศการเมืองจะร้อนระอุ สู่ความขัดแย้งรุนแรงมากกว่า หญิงที่มีอยู่ร้อยละ 74.8 ที่มองว่าบรรยากาศการเมืองจะร้อนระอุ สู่ความขัดแย้งรุนแรง เช่นกัน เมื่อแบ่งออกตามช่วงอายุ พบว่า กลุ่มคนอายุระหว่าง 20 29 ปี ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.3 กลุ่มคนอายุระหว่าง 30 39 ปี ร้อยละ 88.1 กลุ่มคนอายุระหว่าง 40 49 ปีร้อยละ 68.3 กลุ่มคนอายุ 50 59 ปีร้อยละ 74.2 และกลุ่มคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 54.2 มองว่าบรรยากาศการเมืองจะร้อนระอุ สู่ความขัดแย้งรุนแรง
ที่น่าพิจารณาคือ เหตุปัจจัยที่ทำการเมืองร้อนระอุ สู่ความขัดแย้งรุนแรง ใน 5 อันดับแรก ได้แก่ วิกฤตศรัทธาต่อ ผู้นำการเมือง ร้อยละ 84.8 กระบวนการยุติธรรม ล่มสลาย ร้อยละ 83.7 ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของประชาชน ร้อยละ 66.3 ความเสื่อมศรัทธาต่อ องค์กรอิสระ ร้อยละ 50.6 และการยุบพรรคก้าวไกล ร้อยละ 48.9 ตามลำดับ
รายงานของ ซูเปอร์โพล ยังระบุด้วยว่า หากเปรียบเทียบข้อมูลผลโพลชิ้นนี้กับอุณหภูมิร้อนทางการเมืองย้อนกลับไปประมาณปลายปีที่ผ่านมาจะพบว่า บรรยากาศการเมืองร้อนระอุขึ้นมากสอดคล้องกับการรับรู้และความรู้สึกของประชาชนได้ที่น่าเป็นห่วงคือบรรยากาศร้อนระอุทางการเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย เพราะเหตุปัจจัยสำคัญที่ประชาชนระบุมาในผลโพลนี้คือ วิกฤตศรัทธาต่อผู้นำการเมือง กระบวนการยุติธรรมล่มสลาย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนล้มเหลว ความเสื่อมศรัทธาต่อองค์กรอิสระและการยุบพรรคก้าวไกล
รายงานของซูเปอร์โพล ระบุด้วยว่า ในห้วงเวลาที่เหลืออยู่ ต้องตัดไฟแต่ต้นลม ด้วยการพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้นำทางการเมืองทั้งหลาย เช่น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ,ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ,น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และกระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่งของ