วันที่ 5 เม.ย. 2567 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการอภิปรายซักถามและเสนอแนะต่อรัฐบาลอย่างเต็มที่ ตรงไปตรงมา ตามครรลองของกระบวนการตรวจสอบในระบบรัฐสภา และต้องยอมรับว่ามีรัฐมนตรีบางท่านตั้งใจตอบและรับข้อเสนอแนะอย่างสร้างสรรค์ แต่ในส่วนนายกรัฐมนตรีถือว่าประชาชนผิดหวัง นอกจากไม่มีสาระในการตอบแล้ว ยังใช้วิธีการด้อยค่าพรรคการเมืองอื่น ทั้งๆ ที่ควรเอาชนะกันด้วยข้อมูลข้อเท็จจริง ทุกเรื่องนายกรัฐมนตรีจะบอกก่อนว่า งงๆ ทุกเรื่องไป และไม่ได้เอาสาระข้อเท็จจริงมาชี้แจงตอบข้อซักถามเลยแม้แต่น้อย
นายราเมศ กล่าวว่า โดยเฉพาะในเรื่องของการเลือกปฏิบัติต่อประชาชนในสมัยรัฐบาลทักษิณ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่มีหลักฐานชัดจากคำพูดของบุคคลในรัฐบาลขณะนั้นที่ออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะจะพัฒนาเฉพาะจังหวัดที่เลือกพรรคของตน แต่นายกรัฐมนตรีก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ทราบ ส่วนที่นายกรัฐมนตรีพูดในลักษณะด้อยค่าพรรคนั้น ตนก็ต้องบอกว่าขอให้กลับไปดูพรรคตัวเองให้ดี พรรคประชาธิปัตย์อยู่มาจนถึงทุกวันนี้เพราะยึดหลักการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่ตรงไปตรงมา ไม่ทำผิดกฎหมาย แม้จำนวน สส. ที่ผ่านการเลือกตั้งจะแตกต่างกันไปในแต่ละครั้งก็เป็นไปตามระบบแต่ความเป็นสถาบันการเมืองยังคงอยู่ การที่มาบอกว่าวันหลังพรรคจะไม่เหลือพื้นที่ในสภา ตนก็ให้ระวังตำแหน่งของตัวเองให้ดี ระวังนายกรัฐมนตรีตัวจริงจะมาทวงคืน และที่บอกว่ามีฝ่ายค้านไปขอร่วมรัฐบาลนั้น ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริงก็ต้องเปิดเผยมาว่าใคร ไม่ใช่มากล่าวหาเพื่อลดความน่าเชื่อถือกันลอยๆ โดยที่ไม่มีหลักฐาน
“ญัตติการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ที่ผ่านมาเห็นได้ว่าการอภิปรายของพรรคประชาธิปัตย์เป็นคำตอบที่ดีที่สุด ในขณะที่ตัวนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีนั้น ไร้วุฒิภาวะ และใช้คำพูดด้อยค่าผู้อื่น ซึ่งอาจเป็นความเคยชินในทางธุรกิจ แต่ทางการเมืองนั้นไม่มีใครเขาทำกัน ” นายราเมศ กล่าว