วันที่ 5 เม.ย.67 ที่กระทรวงกลาโหม นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวกรณีที่พรรคฝ่ายค้านอภิปรายทั่วไปถึงกระทรวงกลาโหมอย่างดุเดือดประเด็นต่างๆ อาทิ เรือดำน้ำ เรือฟริเกต และอื่นๆ ว่า ในมุมมองตรงกันข้าม ไม่ถึงกับดุเดือดรุนแรง และเห็นว่าผู้อภิปรายก็ไม่รู้จริงเท่าไหร่ เขาก็คำๆ หา ส่วนเรือฟริเกต ที่ระบุว่า  เราไปตัดทำไม ทำไมไม่ให้เขาเชียร์ ส่วนตัวมองว่า เป็นเหลี่ยมการเมืองของฝ่ายค้านเฉยๆ ซึ่งเราไม่ต้องไปชกตามเสียงเชียร์ และให้ชกตามแผน เราจะเป็นนักมวย ย้ำ ทำตามแผนของเรา 

ส่วนที่พรรคฝ่ายค้านอภิปรายโยนหินถามทาง  หากเข้าทางเขาก็โอเคใช่หรือไม่ นายสุทิน ระบุว่า ใช่ 

ส่วนเมื่อถามว่า เรือฟริเกต ปี 2568 จะยังไม่เข้าหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า ยังไม่สรุปว่าเข้าหรือไม่ เพราะเรารอดูการพูดคุยเรื่องเรือดำน้ำกันอยู่ ซึ่งมันเชื่อมโยงกันอยู่ เนื่องจากอาจต้องใช้งบประมาณ 2 ก้อน ซึ่งจะสัมพันธ์กัน ต้องดูก่อนว่าเรือดำน้ำจบอย่างไรจึงจะมีผลต่อเรือฟริเกต 2568 โดยเจตนาของตนจะให้อยู่แล้ว หากให้แล้วซ้อนกัน งบประมาณจะโปร่ง ระหว่างเรือดำน้ำ กับ เรือฟริเกต หรือ เรือฟริเกต ทับซ้อนกับ เรือฟริเกต ก็ได้

ส่วนการตัดสินใจเรื่องเรือดำน้ำต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ นายสุทิน กล่าวว่า ตนจะพยายามเร่งให้เร็วที่สุดและคิดว่าจะให้จบภายในเดือนเมษายนนี้ หรือเร็วกว่านั้นก็ดี และมีสัญญาณที่ชัดว่าปี 2568 น่าจะเดินต่อได้ 

เมื่อถามว่า วันนั้นมีการพูดคุยกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ค่อนข้างนาน นายสุทิน กล่าวว่า มีการพูดคุยหลายเรื่องทั้งเรื่องทั่วไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้มีการพูดคุยกันนานมาก และมีการรายงานนายกฯเป็นระยะ

ส่วนข้อกล่าวหาในการอภิปรายของฝ่ายค้านว่า ที่มีคนของรัฐบาลโทรไปหาทางทหารเรือ (ทร.) ว่าดูเหมือนจะเป็นการตบทรัพย์เรื่องเรือฟริเกต นายสุทิน ชี้แจงว่า หากโทรไปจริงคงไม่ใช่เรื่องการตบทรัพย์ แต่จะเป็นเรื่องให้กำลังใจ 

ส่วนที่ระบุว่า ทางพรรคก้าวไกลเชียร์ เพราะได้เงินทอนหรือไม่ นายสุทิน ระบุว่า เป็นการย้อนตรรกะ เพราะหากคุณคิดทางลบกับคนอื่น คนอื่นก็คิดทางลบกับคุณได้เหมือนกัน 

ส่วนเมื่อถามว่า การอภิปรายรอบนี้ ทางกองทัพเรือโดนหลายเรื่อง นายสุทิน กล่าวว่า ไม่แปลก เพราะมีหลายกรณี หลายสตอรี่ ก็ต้องโดนอภิปรายเยอะหน่อย ทั้งนี้ เราในฐานะฝ่ายบริหารต้องทำทุกเรื่องให้ตรงไปตรงมาและให้ความเป็นธรรมของทุกฝ่ายที่สุด  โดยอาจจะมีการสอบสวนใหม่หรือสั่งให้ 2 ทบทวนอีกครั้ง ส่วนตนกลัวทหารเรือหรือไม่นั้นที่ทหารเรืออาจจะไม่พอใจ นายสุทิน ชี้ว่า ไม่ใช่เรื่องกลัวหรือไม่กลัว ตนกลัวสังคม และประชาชนมากกว่า 

ส่วนเรื่อรบหลวงสุโขทัยจม ทางผู้การเรือต้องรับผิดชอบคนเดียวใช่หรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า ตนไม่รู้ เนื่องจากเขายังไม่สรุป แต่หากเป็นความผิดก็ต้องมีคนรับผิดชอบและเป็นตัวจริง หากไม่ผิดก็ไม่จำเป็นต้องมีคนรับผิดชอบ แต่หาผลสอบไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ก็ต้องมีกระบวนการที่ไม่ปกติ 

ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านอภิปรายว่าโครงการหนองวัวซอโมเดล รัฐบาลชุดนี้ นำโครงการเก่ามาปัดฝุ่นและเปลี่ยนชื่อ นายสุทิน กล่าวว่า เขาคิดและพูดไปเอง เพื่อด้อยราคา แต่จริงๆแล้ว อาจจะคล้ายของเก่าแต่ไม่เหมือนของเก่า พร้อมอธิบายว่า พื้นที่ของเก่ามีขนาดเล็ก และใช้พื้นที่บางจุด แต่โครงการนี้ใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ และทำให้ประชาชนได้รับผลจำนวนมาก ซึ่งก็ถือว่าต่างกันแล้ว รวมถึงวิธีการทำงานก็ต่างกันเยอะ พร้อมยืนยันว่าไม่ใช่แบบเดียวกัน ส่วนเป้าหมายการใช้ที่ดินก็คนละพื้นที่

ส่วนที่มีการโจมตีว่าเป็นพื้นที่ชาวบ้านเดิมแต่กลับต้องจ่ายค่าเช่านั้น นายสุทิน อธิบายว่า เรื่องนั้นเขาคิดเองว่าเป็นของชาวบ้าน ฉะนั้นเราจึงคิดว่ากระบวนการพิสูจน์สิทธิ์จะให้คำตอบ แต่ที่แน่ๆเป็นข้อพิพาทมาโดยตลอด เพราะหากเป็นของชาวบ้านก็จะไม่มีการพิพาท ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องพิสูจน์สิทธิ์ ส่วนที่สส.ก้าวไกลนั้นหยิบยกมาอภิปรายในสภา ตนบอกว่า เป็น สส.หน้าใหม่ และอยู่พื้นที่ไหนก็ไม่รู้ ประสบการณ์มีมากน้อยเพียงใดก็ไม่รู้ แต่กลับไปสรุป ตนมองว่ามันง่ายไป เพราะว่าแม้แต่คนในพื้นที่ก็พิสูจน์ได้ยาก พร้อมถามกลับว่าคุณอยู่จังหวัดไหนแล้วไปตัดสินได้อย่างไรว่านั่นเป็นของชาวบ้าน "มันไม่ได้" เพราะฉะนั้นต้องเชื่อกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ เรามองว่ากระบวนการดังกล่าว เป็นเรื่องที่ดีหากไม่ใช่ก็สามารถฟ้องร้องได้ ไม่เห็นด้วยก็สามารถยื่นฟ้องศาลฎีกาได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเชื่อมากกว่าจะเชื่อฟังคนเพียงคนเดียว และเชื่อว่าเจ้าหน้าที่สามารถชี้แจงได้ แต่ปัญหาคือเมื่อเจ้าหน้าที่กลาโหมไปชี้แจง แต่อีกฝ่าย ก็เบี่ยงเบนไปสร้างความไขว้เขวให้ชาวบ้าน ยุยงสร้างความหวังให้ชาวบ้านอีกแบบหนึ่ง ฉะนั้นจึงเกิดปัญหา

เมื่อถามทิ้งท้ายว่าให้คะแนนฝ่ายค้านในการอภิปรายครั้งนี้เท่าไหร่ จากคะแนนเต็ม 10 นายสุทิน กล่าวว่า ตนไม่อยากไปด้อยค่าเขา ไม่ใช่เฉพาะกระทรวงกลาโหม ทุกกระทรวง ตนมองว่า 80%-90% เป็นเรื่องเก่า ซึ่งนี่คือปัญหา และตนก็เชื่อว่าฝ่ายค้านรู้ดีว่าเคยพูดตั้งแต่แรก ว่าเพิ่งเคยทำงานมาไม่รู้จะอภิปรายอะไร และเขาก็รู้ว่าการอภิปรายจะต้องนำเรื่องเก่ามาพูด แต่เมื่อถูกบีบโดยสังคม หรือใครไม่รู้ไปบีบให้เขาต้องอภิปราย ไปจับเขาขึ้นชกขณะที่เขายังไม่อยากชก เขาไม่พร้อม มันก็ต้องออกมาแบบนั้น

ส่วนที่ตนลุกขึ้นชี้แจงเรื่องตัวเลขนายพลในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้ (4 เม.ย.67) ผิดไปนั้น เพราะว่า เนื่องจากเมื่อฝ่ายค้านอภิปรายเสร็จ และค่อยตอบคำถาม แต่เมื่อวานนี้มีคนบอกว่าขึ้นได้ทันที เพราะจะได้ต่อเนื่อง และมีเอกสารอยู่ 1 เล่มที่ตนได้มา โดยมีตัวเลขนายทหารปฏิบัติการ 2,900 ส่วนตัวเลขนายพลมันอยู่ข้างกัน ช่วงต้นไปดูในช่องปฏิบัติการ 2,900 ตนจึงกูผิดไปนิดนึง แต่เราก็สามารถลุกขึ้นกล่าวแก้ไขได้ทัน 

ซึ่งวันนี้มีนายพลรวม 1,398 คน เท่านั้น ส่วน 2,900 เป็นนายทหารชั้นปฏิบัติการทุกระดับ ฉะนั้น ครึ่งต่อครึ่ง / ส่วนที่ตนบอกว่า "เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล" นั้น เนื่องจากฝ่ายค้านอภิปรายว่าทำไมถึงไม่ลดนายพลที่ไม่มีตำแหน่งแน่นอนให้หมดเอง ตนบอกว่า มันลดไม่ได้ แต่ใช้วิธีการเออรี่ รีไทร์ ซึ่งแปปเดียวก็หมด และ "ไม่ต้องฆ่าโคถึก ไม่ต้องฆ่าคนพล" เพียงย้ายให้เขาไปมีเกียรติยศเป็นสิ่งที่สมูทที่สุด