วันที่ 4 เมษายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายบวร ทับแว่ว ศิษยานุศิษย์หลวงปู่ทองดำ กล่าวว่า ทางคณะศิษยานุศิษย์หลวงปู่ทองดำ พร้อมด้วยคณะกรรมการวัดท่าทอง ต.วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ได้ร่วมกันจัดงานพิธีวันกตัญญูบูรพาจารย์ ปีที่ 19 (ครบรอบวันเกิด 123 ปี ชาตกาล) พระนิมานโกวิท (หลวงปู่ทองดำ ฐิตวัณโณ) พระอริยสงฆ์ 5 แผ่นดิน เทพเจ้าแห่งวัดท่าทอง ในวันพุธที่ 10 เมษายน 2567 นี้ ซึ่งตรงกับวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 5 ปี มะโรง ณ มณฑปจัตุรมุข พระนิมมานโกวิท ในการดำเนินการจัดสร้างรูปเหมือนหลวงปู่ทองดำ ขนาดหน้าตักกว้าง 5 เมตรสูง 4 เมตร เนื้อทองสำริด พร้อมอาคารรองรับ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความกตัญญูต่อบูรพาจารย์ ซึ่งยังขาดทุนทรัพย์อีกจำนวนมาก งบประมาณ 18 ล้านบาท
โดย นายบวร กล่าวว่า กิจกรรมของงานในวันที่ 10 เมษายน เริ่มตั้งแต่ 07.09 น มณฑปจตุรมุขและศาลาเจริญธรรม โดยเริ่มทำพิธีบวงสรวงท้าวเวสสุวรรณ พิธีเจริญพุทธมนต์ให้กับหลวงปู่ทองดำ และ มีพิธีมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนวัดท่าทอง(นิมมานโกวิทพิทยา) อีกทั้งมีการจัดตั้งโรงทานจากคณะศิษยานุศิษย์พร้อมด้วยประชาชนทั่วไปที่ศรัทธาหลวงปู่ ร่วมจัดตั้งถวายเป็นกุศลให้กับหลวงปู่ทองดำด้วย กิจกรรมในวันที่ 10 เมษายน นี้ จะมีขึ้นเป็นประจำทุกปีตั้งแต่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ จนมาถึงทุกวันนี้ เพื่อเป็นการกตัญญูกตเวทีต่อพระนิมานโกวิท (หลวงปู่ทองดำ ฐิตวัณโณ) พระอริยสงฆ์ 5 แผ่นดิน เทพเจ้าแห่งวัดท่าทอง จึงอยากขอเชิญชวนศิษยานุศิษย์ คณะศรัทธาหลวงปู่ทองดำและพุทธศาสนิกชนชาวอุตรดิตถ์ทุกท่าน ร่วมงานงานพิธีวันกตัญญูบูรพาจารย์ ปีที่ 19 พร้อมตั้งโรงทาน ในวันนี้
สำหรับ ประวัติและกิตติคุณ พระนิมมานโกวิท (หลวงปู่ทองดำ ฐิตวณฺโณ) วัดท่าทอง อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ "ภูมิหลังชาติกำเนิด" วันพุธ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 พุทธศักราช 2441 ณ.บ้านไซโรงโขน อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร นายบุญนาค แม่พริ้ง และ นางจ่าย แม่พริ้ง ได้ให้กำเนิดบุตรคนที่ 4 เพศชาย (ในจำนวนพี่น้องชายหญิง 8 คน) บิดามารดาได้ตั้งชื่อ เด็กชายทองดำ เม่นพริ้ง
ส่วน การศึกษาวัยเด็ก ขณะเด็กชายทองดำ อายุ 3 ขวบ บิดามารดาได้นำไปถวายเป็นบุตรบุญธรรมกับหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ(วัดบางคลาน จ.พิจิตร) หลวงพ่อเงินเห็นครั้งแรก เอ๋ยคำออกมา “ไอ้หนูเด็กน้อยคนนี้เป็นเทวดามาเกิด ใครเลี้ยงก็ไม่ได้ มาเป็นลูกของเราเถิดนะ" หลวงพ่อเงินเอาผ้าผืนลงปูรองรับเด็กน้อยคนนี้ ทำพิธีรับลูก จากนั้นเด็กคนนี้ได้รับการเลี้ยงดูอุปถัมภ์ สั่งสอนอบรมวิชาความรู้ และสรรพวิชาต่าง ๆ โดยได้พักอาศัยกับหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อเงินท่องบทสวดมนต์เด็กชายทองดำก็สามารถท่องได้จบเล่มในวันเดียว ชาวบ้านรู้ข่าวต่างแห่มาดูการใหญ่ว่าเด็กน้อยคนนี้มีหน้าตาอย่างไร กระทั่งโตขึ้นบิดามารดามา รับเด็กชายทองดำไปเล่าเรียนศึกษากับอาจารย์โต (เจ้าอาวาสวัดท่าทอง ต.วังกะพี้ จ.อุตรดิตถ์ในสมัยนั้น)
จนมาอุปสมบทเมื่ออายุ 22 ปี ณ พระอุโบสถ วัดวังหมู ต.หาดกรวด อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ โดยมีพระครูวิเชียรปัญญามหามุนี (เรือง )เจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์เจ้าอาวาสวัดท่าถนน ต.ท่าอฐ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ในขณะนั้นเป็นองค์อุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2463 พระอาจารย์แส เจ้าอาวาสวัดวังหมู ต.หาดกรวด อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ฐิตวณโณ” เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดท่าทอง 1 พรรษา ต่อมาได้ย้ายไปอยู่วัดท่าถนน ซึ่งเป็นวัดของพระอุปัชฌาย์ของท่าน และได้จำพรรษาอยู่ 3 พรรษา ทางวัดท่าทอง ต.วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างลง คณะศรัทธาวัดท่าทองได้ลงความเห็นพ้องกัน โดยได้ไปกราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อขออนุญาตจากเจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ด้วยดี คณะศรัทธาให้”พระภิกษุทองดำ” เพื่อนิมนต์ให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทอง ซึ่งหลวงพ่อเองก็มีเจตนาอันบริสุทธิ์และจิตใจอันแน่วแน่ต่อพระพุทธศาสนาและเป็นโอกาสที่จะได้พัฒนาทำนุบำรุงเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นสมความตั้งใจ หลวงพ่อจึงรับภารกิจนิมนต์ครั้งนี้และย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทอง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2468เป็นต้นมา
เมื่อ ปีพ.ศ.2468 อายุ 27 ปี พรรษา 5 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทอง - ปี พ.ศ.2478 ได้รับสมณศักดิ์แต่งตั้งเป็นพระธรรมธรฐานานุกรมของพระครูวิเชียรปัญญา มหามุณีศรีอุตรดิตถ์ เจ้าคณะอุตรดิตถ์ - ปี พ.ศ.2482 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะเป็นเจ้าคณะตำบลหาดกรวด-วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ และได้เลื่อนสมณศักดิ์แต่งตั้งเป็นพระปลัดฐานานุกรม ของพระครูธรรมสารโกวิทย์ (ยศ)เจ้าคณะแขวงเมืองอุตรดิตถ์ ปี พ.ศ. 2487 ได้รับพระราชทานเป็นพระครูธรรมมาภรณ์ประสาท - ปี พ.ศ.2497 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ปี พ.ศ.2504 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราช ทานคณะชั้นสามัญนาม “พระนิมมานโกวิท” - ปี พ.ศ.2510 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ - ปี พ.ศ.2542 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จวบจนมรณภาพ
สำหรับการศึกษาด้านเวทย์มนต์คาถาอาคม ช่วงวัยเด็กหลวงปู่ได้ติดตามบิดาล่องเรือขายยาสูบระหว่างอุตรดิตถ์ จ.พิจิตร จ.นครสวรรค์ บิดามารดาได้ฝากเป็นเด็กวัด เรียนหนังสือกับหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ วัดบางคลาน จ.พิจิตร คอยรับใช้ใกล้ชิดท่านอนุญาตให้พักกุฎิเดียวกับท่าน หลวงพ่อเงินได้สอนสรรพวิชาอาคมไสยเวทต่าง ๆ คาถาที่หลวงพ่อเงินสอนไว้นั้นที่สำคัญคือ “นะโมพุทธายะ” (พระเจ้าห้าพระองค์) ซึ่งต่อมาหลวงปู่ได้ใช้เป็นคาถาประจำตัวของท่านตลออดมา
นอกจากนั้นหลวงปู่ยังได้ศึกษาวิชาอาคมกับโยมปู่ของท่าน ซึ่งเป็นวิชาอยู่ยงคงกระพัน เพื่อป้องกันตนเอง หลวงปู่ได้ใช้วิชานี้ปลุกเสกตัวเองก่อนจะขึ้นชกมวยทุกครั้ง โดยก่อนจะขึ้นชกมวยหลวงปู่จะบริกรรมคาถาจนรู้สึกว่าเนื้อเริ่มหนาขึ้น (ของขึ้น) จึงจะชกได้ เมื่อขณะหลวงปู่อุปสมบทแล้ว ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดท่าถนน (วัดหลวงพ่อเพ็ชร)ซึ่งอยู่ในตัวเมืองอุตรดิตถ์ หลวงปู่ทราบทราบว่าที่วัดกลวงอยู่ห่างจากวัดท่าถนนทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร มีพระภิกษุชราอยู่รูปหนึ่ง “หลวงพ่อทิม”ขาดการดูแลเอาใจใส่ หลวงปู่จึงได้ใช้เวลาว่างเดินทางจากวัดท่าถนนมาวัดกลางทุกวัน เพื่อปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อทิมด้วยจิตใจเมตตาและให้ความเคารพนับถือ โดยหลวงปู่ได้ปฎิบัติภารกิจเป็นประจำทุกวัน ได้แก่ ตักน้ำ ขึ้นมาจากท่าแม่น้ำน่าน นำมาใส่ตุ่มไว้ให้หลวงพ่อทิมได้สรง เก็บกวาดกุฎิ ชำระล้างภาชนะต่าง ๆ ประจำมิขาด โดยหลวงมิได้หวังสิ่งค่าตอบแทนใดทั้งสิ้น แต่ทำไปเพราะจิตเมตตาแก่ภิกษุผู้สูงอายุโดยแท้ซึ่งจากการกระทำความดีของหลวงปู่ๆ ทำให้หลวงพ่อทิมซึ่งขณะนั้นไม่มีผู้ใดทราบเป็นมาหลวงพ่อทิม เป็นพระภิกษุเชี่ยวชาญมนต์คาถาทุกด้าน
สำหรับกิตติศัพท์ ชานบ้านย่านเกาะบางโพและตำบลใกล้เคียงทราบคือ “ตะกรุดโทน”ซึ่งหลวงพ่อปลุกเสกโดยดำลงน้ำจารอักขระบนแผ่นตะกรุดจนกว่าเสร็จ *น่าเสียดายวันหนึ่งมีมนุษย์ผู้เขลาด้วยปัญญา นำตะกรุดที่ท่านมอบไปผูกคอสุนัขและยิงสุนัข แต่ปาฎิหารย์กระสุนด้านหมด เมื่อหลวงพ่อทิมเห็นสุขันวิ่งหลบใต้กุฎิจึงถอดออกจากคอสุนัข ท่านโกรธจึงประกาศงดให้เครื่องรางของขลังแก่ชาวบ้าน หลวงปู่เมื่อได้รับมอบวิชาและตำราจากหลวงพ่อทิมไปแล้ว ท่านหมั่นศึกษาภาวนาปฎิบัติ ทุกบท ทุกวรรคตอน จนสิ้นกระบวนความในตำรา จนชาวบ้านเกาะต่างกล่าวกันว่าหลวงพ่อทิมไปเกิดที่วัดท่าทอง หลวงปู่ได้ใช้คาถาอาคมช่วยเหลือชาวบ้านตลอดมา ประพรมชาวบ้านที่แวะเวียนมากราบนมัสการท่าน ซึ่งน้ำมนต์นี้หลวงปู่จะปลุกเสกทุกวัน ใส่โอ่งมังกรขนาดใหญ่ ภายในกุฎิของท่าน กิตติคุณความขลัง และศักดิสิทธิ์ของน้ำพุทธมนต์เป็นที่เล่าเล่าขานเมื่อครั้งยุทธภูมิเข้าค้อ โดยมีผู้บังคับการจังหวัดทหารบกท่านหนึ่งซึ่งมีความเลื่อมใสเคารพ ศรัทธาในตัวท่านและมีความเชื่อถือในความเข้มขลังของน้ำพระพุทธมนต์ของท่านมาก ได้มาขอน้ำพระพุทธมนต์ ไปหนึ่งขวดแล้วนำไปใส่แทงค์น้ำดื่มสำหรับทหารที่ปฎิบัติการรบประจำการที่เขาค้อได้ดื่มซึ่งท่านเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของนำพระพุทธมนต์ของหลวงปู่สามารถคุ้มครองป้องกันภัยให้แก่เหล่าทหารได้
อีกสิ่งที่ชาวบ้านต้องมาคอยดูว่าท่านจะคายออกมาจากปากเมื่อไร สิ่งนั้นก็คือ "ชานหมาก" เพราะเหตุว่าชานหมากของหลวงปู่ ชาวบ้านหลายคน ได้รับไปแล้วน้ำติดตัวไปด้วยเสมอ จะพบประสบ การณ์ในด้านดี บางคนได้รับประสบการณ์ด้านอยู่ยงคงกระพันธ์ บางคนแคล้วคลาด แต่ส่วนใหญ่ที่ได้รับประสบการณ์จากชานหมากของหลวงปู่ก็คือ เมตตาหมานิยม และค้าขายดีซึ่งในขณะนั้นถึงแม้ว่าหลวงปู่จะเคี้ยวหมากทั้งวันแต่ไม่มีชานหมากติดกระติดกระโถนเลย และอีกสิ่งหนึ่งที่นิยมนำมาให้หลวงปู่ลงอักขระเลขยันต์และเป่าเสกก็คือ กล้วยสุก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหญิงมีครรภ์ที่นำมาให้หลวงปู่ทำให้ แล้วนำไปรับประทานจะทำให้คลอดบุตรง่ายและเด็กเกิดมาจะแข็งแรงดีทุกคน
"งานด้านพัฒนาและก่อสร้างศาสนสถาน" เมื่อมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทองท่านได้รีบดำเนินโครงการพัฒนาวัดท่าทองทันทีเพราะสภาพวัดท่าทองในขณะนั้นทรุดโทรมเต็มที่ ไม่มีเสนาสนะและถาวรวัตถุ คงเป็นวัดเล็กๆ เท่านั้น ตลอดเวลาที่หลวงปู่ได้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสปกครอง วัดท่าทองได้พัฒนาเจริญรุ่งเรืองผิดไปจากสภาพเดิมอย่างไม่อาจเปรียบเทียบได้เริ่มต้นจากการขยายที่ดินของวัดซึ่งมีอย่างจำกัด งานก่อสร้างศาลาการเปรียญ โบสถ์ วิหาร กุฎิ โรงเรียนพระปริยัติธรรม ศาลาปฏิบัติธรรม กุฎิวิปัสสนากัมมัฎฐาน รั้วกำแพง เมรุเผาศพ และถาวรวัตถุอีกมากมายประกอบกับท่านเป็นผู้ที่มีความชำนาญในการออกแบบก่อสร้าง การอ่านแบบแปลน และดำเนินงานเอง จนเป็นที่ยอมรับในหมู่คณะสงฆ์ของจังหวัดอุตรดิตถ์
โดยงานก่อสร้างของหลวงปู่มีมากมาย และสิ่งสำคัญมากที่หลวงปู่ภูมิใจยิ่งได้แก่ ที่ดินอันป็นกรรมสิทธิ์ที่อยู่ในความครอบครองของวัดขณะนี้ เดิมขณะที่หลวงปู่มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสที่ดินของวัดมีอยู่เพียง 3 ไร่เศษเท่านั้น ยากยิ่งต่อการพัฒนา หลวงปู่จึงได้ลงมือบุกเบิกที่ดินรอบบริเวณวัด ซึ่งเป็นป่ารกเเละหนองน้ำ หลวงปู่ได้อดทนอุตสาหะไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ประกอบกำได้กำลังศรัทธาของชาวบ้านบริจาคยกให้ รวมทั้งสิ้นประมาร 90 ไร่เศษ การก่อสร้าง ศาสนสถานภายในบริเวณวัดท่าทองหลวงปู่เป็นผู้กำหนดแบบ ควบคุม และลงมือด้วยตนเอง โดยมีพระภิกษุสามเณรและศรัทธาของประชาชน ให้ความร่วมมือด้วยดีเสมอมา