วันนี้ 29 มี.ค.2567 เวลา 13.05 น.ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.2563 ข้อ31 ให้รัฐสภามีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา210 (2) ที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ เป็นผู้เสนอ

โดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ตนยอมรับว่าหนักใจ ที่หลายฝ่ายต้องการบรรลุเป้าหมาย ว่ารัฐสภาแห่งนี้จะต้องมาร่วมพิจารณาญัตติดังกล่าว โดยเฉพาะกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สิ่งที่เราทำคือการยื่นดาบให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง9คน ที่ถูกแต่งตั้งโดยกลุ่มคนที่ส่วนใหญ่อาจไม่อยากเห็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และให้กลุ่มคนดังกล่าวมาฟันธงชี้ขาดว่ารัฐสภาแห่งนี้ทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ ที่ผ่านมาก็มักจะเป็นเหมือนกล่องสุ่มไม่เป็นคุณต่อการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มากนัก

“แต่เหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกหนักใจมากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะหากเราเดินตามหลักการประชาธิปไตย และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด ผมไม่คิดว่ารัฐสภาแห่งนี้จะต้องมาใช้เวลาหรือกำลังเพื่อมาพิจารณาญัตตินี้ตั้งแต่ต้นต้นตอสาเหตุที่ทำให้เรามาพิจารณาญัตติ เพราะประธานรัฐสภาตัดสินใจไม่บรรจุร่างฯแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย ที่ยื่นเข้าไปเมื่อช่วงเดือนม.ค.ที่ผ่านมา และร่างฯของพรรคก้าวไกล เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา โดยอ้างว่าร่างฯดังกล่าวขัดคำวินิจฉัยของศาลฯที่4/2564” นายพริษฐ์ กล่าว

นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า ตนยืนยันมาตลอดว่าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจประธานรัฐสภา เพราะไม่ถูกต้อง เนื่องจากตนไม่เห็นว่า ร่างฯของทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ที่มีหลักการสอดคล้องกันจะขัดกับคำวินิจฉัยศาลฯ โดยทั้ง2ร่างฯ มีหลักการคล้ายกันคือแก้มาตรา256 และเพิ่มเติมหมวด15/1 ที่จะส่งผลให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.)ขึ้นมาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้นหากทั้ง2ร่างฯผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาทั้ง3วาระ ก็จะต้องมีการจัดทำประชามติ หากผ่านประชามติจากความเห็นชอบของประชาชน ก็จะมีส.ส.ร.มาทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อส.ส.ร.ทำรัฐธรรมนูญฯแล้วเสร็จ ร่างฯของทั้ง2ได้ระบุชัด ว่าจะต้องมีการทำประชามติอีกครั้งว่าเห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับหรือไม่
“สรุปคำวินิจฉัยศาลฯที่4/64 แบบเข้าใจง่ายคือ คำวินิจฉัยดังกล่าวพูดถึงความจำเป็นในการทำประชามติ2ครั้ง ก่อนและหลังมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมจึงไม่เห็นว่าร่างฯของทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลจะขัดกับคำวินิจฉัยศาลฯผมได้รับข้อมูลว่าที่ประธานรัฐสภาไม่บรรจุร่างฯดังกล่าวทั้ง2ร่างฯ เพราะตีความคำว่าเสียก่อน หมายถึงการทำประชามติเสียก่อนจะมีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใดๆที่เกี่ยวกับการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เข้าสู่รัฐสภา ผมเข้าใจว่าประธานรัฐสภาตัดสินใจไม่บรรจุทั้ง2ร่างฯจนกว่าจะมีการทำประชามติเพิ่มขึ้นมาอีก1ครั้งก่อนที่จะมีการเสนอร่างฯแก้ไขรัฐธรรมนูญใดๆเข้าสู่รัฐสภา ดังนั้นถ้าเดินตามนี้ก็จะต้องมีการทำประชามติ3ครั้ง” นายพริษฐ์ กล่าว
นายพริษฐ์ กล่าวด้วยว่า เราจะหาข้อสรุปอย่างไร ในเมื่อคำวินิจฉัยศาลฯไม่มีตรงไหนที่บอกว่าจะต้องมีการทำประชามติเพิ่มอีก1ครั้งก่อนเสนอร่างฯแก้รัฐธรรมนูญ ยอมรับว่าข้อความของคำวินิจฉัยศาลฯอาจทำให้เกิดความคลุมเครือได้ ดังนั้นการแก้ปัญหานี้ไม่ยาก คือต้องไปดูคำวินิจฉันส่วนตนของตุลาการศาลฯ รายบุคคลทั้ง9คนเพื่อให้เข้าใจความหมายและเจตนาที่แท้จริงให้ชัดเจน แต่ตนตกใจว่ากระบวนการนี้ประธานรัฐสภายังไม่ได้ดำเนินการเนื่องจากตัวแทนของคณะกรรมการประสานงานและเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของประธานรัฐสภา และประธานสภาฯ ยอมรับกับตนว่าศึกษาแค่คำวินิจฉัยกลาง ไม่ได้ศึกษาคำวินิจฉัยส่วนตนของทั้ง 9 ตุลาการศาลฯ ทั้งนี้จากที่ตนไปสรุปคำวินิจฉัยส่วนตนของ 9 ตุลาการศาลฯ พบว่ามีถึง 5 คน ที่วินิจฉัยว่าสามารถบรรจุร่างฯทั้ง2ได้ ทำให้พออนุมานได้ว่า คำวินิจฉัยกลางที่4/64 กำลังบอกกับเราว่าประธานฯสามารถบรรจุร่างฯทั้ง2ได้

“การตัดสินใจของประธานรัฐสภา ในการไม่บรรจุทั้ง2ร่างฯแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นการตัดสินใจสวนทางคำวินิจฉัยของตุลาการเสียงข้างมากของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ผมหวังว่าประธานรัฐสภา จะทบทวน และตัดสินใจบรรจุร่างฯแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา เพื่อเดินหน้าผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนเร็วที่สุด ด้วยกระบวนการชอบธรรมทางประชาธิปไตย” นายพริษฐ์ กล่าว