วันที่ 28 มี.ค.67 นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค"  ระบุว่า...

”คนไทยเรียกร้องให้ UN หยุดสร้างความเหลื่อมล้ำ สองมาตรฐาน และขอเรียกร้องให้ UN ไปเรียกน้องให้อเมริกา อังกฤษ ฯลฯ ยุติการดำเนินคดีต่อผู้ละเมิดหรือคุกคามประมุขของชาติตะวันตกทั้งหลายด้วย“

เว็บไซต์ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ได้เผยแพร่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากองค์การสหประชาชาติ

1. เรียกร้องให้มีการกลับคำพิพากษา และยุติการดำเนินคดีที่เหลือทั้งหมดของอานนท์ นำภา และผู้ถูกดำเนินตามมาตรา 112 รวมถึงการปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมือง

ความจริงคือ คนไทยเรียกร้องให้ UN ไปเรียกร้องให้อเมริกายกเลิกกฎหมายคุ้มครองประมุขของชาติ และหยุดดำเนินคดีต่อผู้ละเมิดประธานธิบดีทั้งที่ผ่านมาและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย

2. เน้นย้ำข้อเรียกร้องที่มีมาอย่างยาวนานให้รัฐบาลไทย “ยกเลิก” มาตรา 112 โองการอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน

ความจริงคือ ม.112 เป็นกฎหมายคุ้มครองประมุขของชาติ ซึ่งทุกประเทศในโลกก็มี ถ้าเช่นนั้น UN ก็ควรเสนอให้ อเมริกา อังกฤษ และทุกประเทศยกเลิกกฎหมายคุ้มครองประมุขของชาติตน

3. การใช้กฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ นั้น สร้างความตื่นตระหนกเป็นระยะเวลาหลายปี

ความจริง กฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือประมุขของชาติ ซึ่งอเมริกาก็มีกฎหมายนี้ และก็คล้ายกับกฎหมายหมิ่นบุคคลธรรมดา นั้นคือใช้คุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล จะไปสร้างความตระหนกอะไรถ้าไม่คิดจะละเมิดสิทธิผู้อื่น

4. การลงโทษหนักต่อบุคคลที่ใช้เสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน

ความจริงคือ นักโทษคดี ม.112 ไม่ได้ใช้สิทธิแสดงความเห็นต่างทางการเมือง แต่คนเหล่านั้นใช้สิทธิส่วนบุคคลคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของชาติ ถ้าคนอเมริกัน ใช้สิทธิส่วนบุคคลคุกคามประธานาธิบดีซึ่งเป็นประมุขของชาติก็ถูกดำเนินคดีมิใช่หรือ

5. ทนายความมีสิทธิในการใช้เสรีภาพในการแสดงออกและจะต้องไม่ถูกลิดรอนสิทธิในการประกอบวิชาชีพ

ความจริงคือ ทนายความก็เป็นเพียงอาชีพหนึ่ง เป็นบุคคลหนึ่งที่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ทำไม UN บังคับให้เกิดความเหลื่อมล้ำ

นอกจากนี้ข้อเท็จจริงจากเรื่องดังกล่าวนี้คือ รัฐธรรมนูญไทยบัญญัติว่า

มาตรา 25 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะในรัฐธรรมนูญแล้ว การใดที่มิได้ห้ามหรือจำกัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำการนั้นได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่านั้นไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น

มาตรา 28 บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย

มาตรา 29 บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้

มาตรา 32 บุคคลย่อมมีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว

การกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิของบุคคลตามวรรคหนึ่ง หรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าในทางใด ๆ จะกระทำมิได้

มาตรา 34 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้

เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน

มาตรา 44 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ

การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น

มาตรา 49 บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้

วินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 49 เป็นบทบัญญัติที่มีความมุ่งหมายเพื่อปกป้องคุ้มครองการปกครองของประเทศให้เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญ 2 ประการ คือ ระบอบการปกครองประชาธิปไตย และ พระมหากษัตริย์

โดยหลักการนี้ บัญญัติเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ 2475 แก้ไขเพิ่มเติม 2495 และบัญญัติในทำนองเดียวกันไว้ในรัฐธรรมนูญต่อมาทุกฉบับ

บทบัญญัตินี้ เป็นการคุ้มครอง มิให้มีการใช้สิทธิหรือเสรีภาพที่จะส่งผลเป็นการบั่นทอน หรือทำลายพื้นฐานของ และสั่นคลอนคติรากฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทย ที่ดำรงอยู่ให้เสื่อมทรามหรือต้องสิ้นสลายไป

ส่วนกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดอัตราความผิดและกำหนดอัตราโทษแก่ผู้กระทำความผิดที่ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการ

สอดคล้องกับการที่ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติให้สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันหนึ่งในรัฐธรรมนูญ สืบเนื่องมาจากเหตุผลทางประวัติศาสตร์ โบราณราชประเพณี นิติประเพณี ซึ่งดำรงอยู่ในสถานะที่ผู้ใดจะละเมิดหรือฟ้องร้องในทางใด ๆ ไม่ได้

“พระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ เป็นการผดุงไว้ซึ่งเกียรติยศของประเทศ จึงมีความชอบธรรมที่ต้องมีกฎหมายคุ้มครองมิให้มีการละเมิดพระมหากษัตริย์ในฐานะที่ทรงเป็นประมุขของรัฐ หรือสถานะตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้”

รัฐธรรมนูญ มาตรา 2 ที่บัญญัติรับรองว่าประเทศไทยมีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาลรัฐธรรมนูญจึงเห็นว่า “การกระทำความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จึงเป็นความผิดต่อความมั่นคงของประเทศด้วย”

"สถาบันพระมหากษัตริย์ จึงมีความสำคัญต่อความมั่นคงต่อประเทศ เพราะพระมหากษัตริย์ กับประเทศไทย หรือชาติไทย ดำรงอยู่คู่กัน เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นศูนย์รวมจิตใจในชาติ และธำรงความเป็นปึกแผ่นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในประเทศ การกระทำความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นการกระทำความผิดต่อความมั่นคงของประเทศด้วย"

การที่สหประชาชาติ เรียกร้องให้รัฐบาลไทย ยกเลิกมาตรา 112 นั้นสอดคล้องกับนโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกล ซึ่งศาลวินิจฉัยว่า

"การเสนอให้มาตรา 112 ออกจากลักษณะ 1 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักรเป็นการกระทำเพื่อมุ่งหวัง ให้ความผิดตามมาตรา 112 เป็นความผิดที่ไม่มีความสำคัญ และความร้ายแรงในระดับเดียวกัน กับความผิดในหมวด 1 ของลักษณะ 1 และไม่ให้ถือว่าเป็นความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศอีกต่อไป มีเจตนามุ่งหมายที่จะแยกสถาบันพระมหากษัตริย์กับความเป็นชาติไทยออกจากกัน ซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐอย่างมีนัยสำคัญ"

การเสนอให้ยกเลิกมาตรา 112 ถือเป็นการลดการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ "ซึ่งถือเป็นการกระทำที่เซาะกร่อนบ่อนทำลาย“