วันที่ 25 มี.ค.2567 เมื่อเวลา 16.28 น.ที่รัฐสภา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ชี้แจงว่า การบริหารราชการที่มีอุดมการณ์แน่วแน่  ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำหน้าที่ตามหลักกฏหมายและหลักนิติธรรมเพื่อประโยชน์สูงสุดของส่วนรวม  ซึ่งเข้าใจดีระหว่างประโยชน์ส่วนตัวและประโยชน์ส่วนรวม ส่วนตัวเลือกที่จะทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ระหว่างบุญคุณกับการทำตามกฏหมาย   เลือกที่จะทำตามกฏหมาย ส่วนกฎหมายกับความถูกต้อง   แม้อาจจะไม่ไปด้วยกัน  แต่ต้องแก้ไปด้วยกัน  

ส่วนระบบอุปถัมภ์และระบบคุณธรรม ก็เลือกระบบคุณธรรม ยืนยันว่าในการทำหน้าที่ไม่เคยได้รับการสั่งการจากนายทักษิณ  ชินวัตร อดีตนายกฯ ในสิ่งที่ขัดต่อกฎหมายและคุณธรรม และการกลับเข้ามารับโทษตามกระบวนการยุติธรรม วันที่ 22 ส.ค.2566 ซึ่งขณะนั้นอยู่ในยุครัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คือนายวิษณุ เครืองาม ส่วนข้าราชการประจำรองปลัดกระทรวงยุติธรรม  อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯยังเป็นชุดเดียวกัน โดยตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่ไม่ได้สั่งปรับเปลี่ยนใคร ดังนั้นตนเสียใจที่ได้ยินข้อกล่าวหาดังกล่าว 

“ที่นายถวิลกล่าวหาว่าผมทำลายกระบวนการยุติธรรม   ท่านคิดหรือว่าพล.อ.ประยุทธ์ ผมจะไปสั่งการท่านได้  ท่านนายกฯทักษิณ จะเข้ามาในประเทศ  และต้องไปโรงพยาบาลทันที ท่านคิดหรือว่าผมจะไปสั่งการ   หรือนายกฯเศรษฐาจะไปสั่งการนายวิษณุได้ ซึ่งขณะนั้นก็ยังไม่ทราบว่าพรรคประชาชาติจะร่วมรัฐบาลหรือไม่ อยากให้ความเป็นธรรมสักนิดกับข้อเท็จจริง  ผมว่าการทำลายระบบยุติธรรมคือการยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ” พ.ต.อ.ทวีกล่าว 

พ.ต.อ.ทวี   ยังกล่าวว่า ตนได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการวันที่ 11 ก.ย.  2566  หลังจากที่นายทักษิณเข้าไปรับการรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งในระเบียบและกฎหมายราชทัณฑ์ได้พิจารณาและปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับนโยบายอาญาของประเทศ เดิมใช้ทฤษฎี “แก้แค้น ทดแทน ข่มขวัญ ยับยั้ง” แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นการใช้ทฤษฎี “ฟื้นฟู” ซึ่งเมื่อมีการแก้ไขกฎหมายมาแล้ว  ในราชการไม่ได้มีอำนาจแก้ไข  ดังนั้นการกำหนดโทษเป็นอำนาจศาล  แต่การบริหารโทษเป็นไปตามกฏหมายราชทัณฑ์  และปัจจุบันด้วยนักโทษล้นคุก กว่า 200,000 คน และได้พิจารณาว่าการไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจที่ชั้น 14 ซึ่งเป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่มีมาก่อนอยู่แล้ว และสาเหตุหนึ่งคือเรื่องของทางการแพทย์   โรงพยาบาลราชทัณฑ์ยังไม่มีความพร้อมรองรับ อีกทั้งโรงพยาบาลก็ถือเป็นสถานที่คุมขังอื่นตามที่ระเบียบกำหนดไว้  และตามกฏหมายใหม่การคุมขังไม่ต้องอยู่ในเรือนจำ 

“อดีตนายกฯทักษิณได้ถูกจำคุก   แต่อยู่ในสถานที่คุมขังอื่น ซึ่งไม่ได้มีท่านคนเดียว ยังมีบุคคลอื่น จากตัวเลขที่อ้างอิง 4-5 หมื่นคน แต่กรณีที่เกิน 120 วัน ตัวเลขไม่มาก” พ.ต.อ.ทวีกล่าว

รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า  ส่วนการการพักโทษกรมราชทัณฑ์ หรือรมว.ยุติธรรมไม่ได้มีอำนาจที่จะพักโทษใคร แต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการพักโทษ  ซึ่งมีการพิจารณาทุกเดือนเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่มีมาก่อนแล้ว และกรณีของนายทักษิณนั้นทางผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข มีความเห็นว่าเป็นกรณีเข้าหลักเกณฑ์ผู้สูงอายุ และเหลือโทษไม่มากนัก ช่วยตัวเองได้ไม่ดีพอ  

ขณะเดียวกันผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เห็นด้วย  และเห็นว่าโรงพยาบาลเป็นสถานที่ควบคุมเช่นกัน   ตามกฏหมาย และชี้แจงว่าข้อมูลของผู้ป่วยเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่สามารถเปิดเผยได้   ซึ่งหากวุฒิสภาเห็นว่ากฎหมายมีปัญหาก็พร้อมที่จะแก้ไข  ก่อนจะทิ้งท้ายว่าระบบการคิดของเรือนจำสมัยใหม่ ไม่ได้เอาไปแก้แค้น คุกไม่ได้มีไว้ขังคนเท่านั้น แต่มีไว้ให้ออกด้วย