วันที่ 25 มี.ค.2567 ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา ที่มีพล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานในการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปของสว.เพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงแนวทางปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่ลงมติตามมาตรา 153 ต่อมาเวลา 14.00 น. นายสมชาย แสวงการ สว. อภิปรายว่า นายกฯหมกมุ่นเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต วิงวอนมาตลอดว่าให้เลิกโครงการ อย่าดันทุรัง เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เสี่ยงผิดกฎหมาย นำไปสู่คดีความแน่นอน เม็ดเงินเหล่านี้จะละลายไปกับการแจกและไม่ได้ผล
ถ้าเอาเงิน 5 แสนล้านบาทไปลงทุนโดยไม่แจก จะสร้างผลผลิตและได้ 5 แสนล้านบาทบวกๆ ประเทศไทยไม่ได้มีวิกฤตเศรษฐกิจ หากอยากทำจะต้องออก พ.ร.ก.เงินกู้ การแจกโดยตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ มีตัวอย่างมาแล้วที่ญี่ปุ่น เคยทดลองมาแล้ว ใช้ไม่ได้ผล ขอให้เลิกกู้เงินมาใช้ในโครงการดิจิตอลวอลเล็ต สร้างหายนะในอนาคต หากจะเดินโครงการต่อ ตนจะยื่นต่อป.ป.ช.ดำเนินคดี ประชาชนตั้งคำถามเหตุใดค่านิยมรัฐบาล ในผลโพลล่าสุด จึงตกต่ำกว่าพรรคฝ่ายค้าน เหตุผลคือประชาชนรอมา 6-7 เดือนว่า จะมีอะไรบ้างที่เป็นรูปธรรม
“ผมให้คะแนนสอบตกหมดทุกข้อ เพราะยังไม่ได้แก้ปัญหาในเศรษฐกิจปากท้องประชาชน ถ้ารัฐบาลยังกู้มาแจกแหลกลาญ 5 แสนล้านบาท หวังแค่คะแนนเลือกตั้ง ท่านกำลังทำลายประเทศ ดังนั้นท่านควรเปลี่ยน เชื่อว่าท่านจะคิดออก หาทางแก้ปัญหาระยะสั้น แล้วสัญญาว่าอีกกี่วัน กี่เดือนจะเสร็จ” นายสมชาย กล่าว
นายสมชายกล่าวว่า ส่วนเรื่องกระบวนการยุติธรรมนั้น วันนี้กระบวนการยุติธรรมประเทศกำลังเสื่อม ขาดความยุติธรรมถึงที่สุด นายกฯต้องมีส่วนรับผิดชอบในฐานะหัวหน้ารัฐบาล แต่ปล่อยให้เกิดกระบวนยุติธรรม 2 มาตรฐาน บางคนเรียกไร้มาตรฐาน ที่ผ่านมาได้พบระดับอดีตผู้บริหารศาลหลายคน ทุกคนฝากให้แก้ไขกระบวนการยุติธรรมท้ายน้ำที่แม้ศาลจะตัดสินอย่างไร ก็มีกระบวนการลดโทษจากกรมราชทัณฑ์ที่บังคับใช้ไม่เท่าเทียมกับนักโทษทุกคน โดยเฉพาะกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดูแล้วไม่ใช่ความผิดนายทักษิณ แต่ปัญหาคือ ระบบการบังคับโทษ นายทักษิณได้ไปอยู่โรงพยาลตำรวจห้องวีไอพี อ้างว่าป่วย 4โรค ขัดกับภาพที่นายทักษิณเดินทางไปจ.เชียงใหม่ เดิน ลุกนั่ง ขึ้นรถกอล์ฟ ขึ้นบันไดได้ตามปกติ ดูแข็งแรงดี ไม่รู้หมอโรงพยาบาลตำรวจรักษาดี หรือนายทักษิณกำลังใจดี
นายสมชาย กล่าวต่อว่า ทราบว่าหมอที่รักษาเป็นพล.ต.ท.เกษียณแล้ว ชื่อย่อ “ส” เป็นหมอทางสมอง ส่วนการอ้างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ให้เปิดเผยอาการป่วยนั้น มีข้อยกเว้นไม่ให้ใช้บังคับแก่สส. , สว. และกมธ.ที่เก็บรวบรวมข้อมูลตามอำนาจหน้าที่ กรณีนี้กมธ.จึงมีอำนาจเรียกเอกสารได้ ขณะที่การอ้างว่า มีผู้ป่วยได้รับการไปรักษาตัวนอกเรือนจำจำนวนมากนั้น ข้อมูลที่กมธ.ได้รับจากกรมราชทัณฑ์ระบุว่า ตั้งแต่เดือนต.ค.2565 -25 ธ.ค.2566 มีนักโทษที่เป็นผู้ป่วยไปรักษาตัวภายนอก เกิน 30วัน 100คน เกิน 60วัน 30คน เกิน 120วัน 3คน หนึ่งในนั้นคือ นายทักษิณ ไม่รู้ใครโกหก
นายสมชายกล่าวว่า ยิ่งไปดูกฎกระทรวงที่มีการแก้ไข มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องสถานที่คุมขัง และอายุ จากเดิม ระบุต้องได้รับโทษมา 1ใน 3 และอายุเกิน 70ปี มีโรคประจำตัว มีการแก้ไขจากคำว่า “และ” เป็น “หรือ” ทำให้คนอายุ 70ปี ไม่ว่าจะโกงชาติบ้านเมืองหรือไม่ สามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ เรื่องนี้สั่นคลอนกระบวนการยุติธรรมอย่างยิ่ง วันใดเกิดวิกฤติศรัทธาจะนำมาซึ่งสึนามิ แก้ไขยาก ขอเสนอให้ดำเนินคคี 3ทางคือ 1.ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมีการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขัดหลักนิติธรรม เป็นที่สงสัยขัดกับการอภัยลดโทษหรือไม่ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่อง มีคำสั่งให้นายทักษิณ กลับเข้าสู่กระบวนการรับโทษ ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทักษิณได้รับการรับโทษแล้ว 2.ร้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่งการให้นายทักษิณเข้ารับการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจและคำสั่งพักโทษ เป็นคำสั่งมิชอบ 3.การร้องต่อต่อป.ป.ช. เอาผิดนายกฯ รมว.ยุติรรม และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง กรณีใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ
ต่อมาเวลา 15.00 น.นายถวิล เปลี่ยนศรี สมาชิกวุฒิสภา(สว.) อภิปรายในประเด็นปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ตอนหนึ่งว่า คำแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาในด้านกระบวนการยุติธรรม ตนขีดเส้นใต้โดยเฉพาะที่ระบุว่า เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นยอมรับของนานาประเทศ เป็นคำแถลงที่สวยหรู ดูดีมาก แต่รัฐบาลนี้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทำความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรม และหลักนิติธรรมของประเทศเป็นอย่างมาก ในช่วง6-7เดือนที่ผ่านมา ไม่เป็นไปตามที่แถลงไว้
ที่เด่นชัดสุดคือกรณีของอดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีคดีไปหลายปี แล้วกลับมารับโทษ ตนยืนยันว่า เป็นเรื่องที่กระทบต่อนโยบายความยุติธรรมของคนทั้งประเทศ ทุกคนมีส่วนได้เสีย ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ที่อดีตนายกฯกลับมารับโทษตามกฎหมาย เป็นเรื่องดี แต่ตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบมาบนประเทศไทย เรื่องแปลกๆก็เกิดขึ้นกับประเทศ ทั้งการได้รับสิทธิพิเศษ การต้อนรับที่ดี ตั้งแต่ลงมาจากเครื่องบิน จนไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยไม่ชัดเจน
“หลังจากนั้นเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นไม่หยุด ท่านได้รับการรักษาตัว180วัน หรือ6เดือนเต็มในโรงพยาบาลฯ โดยการอนุมัติจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ด้วยข้อมูลการแพทย์ที่สังคมเคลือบแคลงสงสัยตลอดมา ตลอด 6 เดือนท่านแทบไม่ได้สัมผัสเรือนจำเลย ผมคิดว่าประตูเรือนจำสีอะไรทำด้วยอะไร ท่านอาจจะยังนึกไม่ออกจนกระทั่งบัดนี้ จากนั้นความสงสัยประหลาดใจยิ่งเพิ่มขึ้นอีก หลักจากได้พักโทษไม่ถึงสัปดาห์ก็เปิดบ้านรับแขกบ้านแขกเมือง ขออนุญาตกลับบ้านที่เชียงใหม่ มีรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง นายกอบจ. ข้าราชการ มารอรับแล้วรายงานข้อราชการ ดูแล้วไม่เหมือนนักโทษที่ได้รับการพักโทษ แล้วไม่เหลือเค้าของอาการเจ็บป่วยรุนแรงวิกฤต ที่แพทย์โรงพยาบาลตำรวจยืนยันมาตลอดว่าวิกฤต เสี่ยงต่อชีวิต” นายถวิล กล่าว
นายถวิล กล่าวต่อว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะรมว.ยุติธรรม ยืนยันเสียงแข็งว่าทำถูกต้องชอบธรรมครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว ท่านไม่สงสัยบ้างหรือว่าการแก้โจทย์ของท่านลืมทดเลข หรือทดเลขผิดหรือไม่ ทำไมคำตอบที่ออกมามันค้านสายตาคนทั้งประเทศ หรือาจจะทั้งโลกก็ได้ ท่านเป็นข้าราชการ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทำงานเพื่ออำนวยความเสมอภาค เท่าเทียมเป็นธรรมให้ประชาชน ท่านลองหลับตาสวดมนต์ทำใจสบายๆ แล้วสาบานกับตัวท่านเองว่าปฏิบัติไปโดยถูกต้อง ชอบธรรม เป็นธรรม เสมอภาคแล้วจริงหรือไม่ ตนคิดว่าคำตอบปรากฏแก่ใจของท่านแล้ว ไม่ต้องตอบตนก็ได้
“ท่านคิดว่า คนไทยกินหญ้า กินแกลบ หรือผมไปกินน้ำค้างหน้าบ้านผม ไม่ได้กินข้าว เหมือนพวกท่านที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในคดีนี้หรืออย่างไร จึงหลอกตัวเอง หลอกคนทั้งประเทศ ท่านคิดว่าเดี๋ยวคนคงลืมๆ แล้วๆกันไป เพราะว่าปลุกม็อบไม่ขึ้นแล้ว บาดเจ็บกันมามากแล้ว แล้วคนไทยขี้ลืม เดี๋ยวก็ลืมกันไป แต่เรื่องนี้ จะไม่ลืมเป็นอันขาด ในฐานะที่ผมผ่านเหตุการณ์มามาก ทำงานด้านความมั่นคงมาหลายปี เรื่องนี้จะเป็นบาดแผลลึก ที่ไม่มีวันหาย จะเป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันจางหายไปเป็นอันขาด อาจจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวได้” นายถวิล ระบุ
นายถวิล กล่าวอีกว่า กระบวนการยุติธรรมที่ไม่ตรงปก ไม่ตรงไปตรงมา มันมีผลกระทบต่อสังคม คือ1.ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมเพิ่มขึ้น คนที่รัก คนที่เชียร์ก็ชอบ ส่วนคนเกลียดชัง เขาก็แช่ง แล้วความสงบสามัคคีจะเกิดขึ้นได้อย่างไร จะอ้างว่าปรองดองโดยฝ่ายหนึ่งยืนเหยียบบนหัวของอีกฝ่าย ตนไม่เห็นด้วย ถ้าทำให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น สังคมก็อยู่ร่วมกันได้ 2.จะส่งผลกระทบต่อค่านิยมของบ้านเมือง เราจะบอกค่านิยมเหล่านี้ต่อลูกหลานในอนาคตได้อย่างไรให้เขาเชื่อ ศรัทธา ทำกันอย่างนี้ จะอธิบาย เรื่องความยุติธรรม ความเสมอภาค ให้ลูกหลานยึดถือได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่เขาเห็นต่อสายตาตัวเองมันย้อนแย้ง
นายถวิล กล่าวต่อว่า 3.ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ ความยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมืองไปหมดสิ้น กว่าแต่ละคดีจะมาถึงขั้นลงโทษผู้กระทำความผิดได้ สังคมนี้ใช้จ่ายทรัพยากร ทั้งตัวบุคคล เงินทอง ทรัพย์สินไม่ใช่น้อย แต่การบริหารโทษชั้นปลายน้ำ ทำให้ความพยายามที่ยากลำบากสูญสลายไปในพริบตา ความน่าเชื่อถือของนานาประเทศเสียหายก็ไปด้วยสิ่งที่ทำลงไป เอาชื่อเสียง เอาระบบยุติธรรมประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพงแสนแพง ประเทศชาติขาดทุนย่อยยับกับสิ่งที่ทำลงไป
นายถวิล กล่าวว่า 4.ทำลายระบบราชการ ทำลายกระบวนการยุติธรรมเสียหายย่อยยับ โดยเฉพาะการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา เพราะประชาชนเชื่อแล้วว่ากระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนจนถึงชั้นศาลฯ จะออกมาเป็นโทษแก่เขาเพียงใด แต่ถ้ามีอำนาจ มีเงิน ก็สามารถทำให้สิ่งเหล่านั้นกลับกลายไปได้ เราจะอยู่กันในบ้านเมืองที่มีหลักแบบนี้หรือ และ5.การที่อดีตนายกฯ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณฯ อภัยโทษลดโทษเหลือ1ปี แต่ในโทษ1ปีได้ถูกกระบวนการบริหารโทษทำปู้ยี่ปู้ยำ ด้วยวิธีการต่างๆนานา ฉ้อฉลเสียหาย ตนอดนึกไม่ได้ว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้คำนึงถึงพระเกียรติยศ คำนึงถึงพระเมตตาของพระองค์ท่านหรือไม่
“ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับอดีตนายกฯ ผมไม่โทษท่าน อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อเขา เขาก็ต้องยินดีรับเอา มันเป็นธรรมชาติมนุษย์ แม้ส่วนตัวผมจะไม่ชอบ ถึงขั้นชิงชัง รังเกียจความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ก็ตาม ผมต้องตำหนิรัฐบาล กลไกรัฐภายใต้กำกับดูแลที่ทำให้เกิดเรื่องน่าละอายเช่นนี้ ท่านน้อมประคองส่งมอบสิ่งนี้ให้เขาเอง ทั้งๆที่สามารถป้องกันแก้ไขได้
ที่น่าเสียใจยิ่งกว่านั้น คือท่านยังยืนยันว่าทำถูกต้อง ทำดีแล้ว อวิชชาที่บดบังสติปัญญาเช่นนี้ ผมคิดว่ายากจริงๆที่จะพูดให้เข้าใจ ยากที่จะทำให้เห็นแจ้ง คงต้องรอกฎหมายตามเช็คบิลการกระทำที่ไม่ถูกต้อง และวันหนึ่งไม่ช้าเกินรอกฎแห่งกรรมจะได้ทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรง มอบคุณมอบโทษให้กับทุกท่านที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตามวิบากกรรมการกระทำของทุกท่าน” นายถวิล กล่าว