จากกรณีที่มีเพจเฟสบุ๊ค ชื่อ เจ๊ม้อย v-news ได้โพสต์ข้อความ “เป็นใครก็คงเสียใจแต่งงาน 4 - 5 วัน ผู้หญิงขอเลิก สินสอดก็ไม่คืน เอาจริง ถ้าอยู่กันไม่ได้ จะจัดงานขึ้น มาทำไมก่อน ? สินสอดก็น่าจะแบ่งกันดีกว่านะ มันเป็นไปได้ด้วยหรือ ที่มาบอกว่ารักกัน แต่งงานกันไม่ถึง 4-5 วัน จะขอเลิก บอกว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้แต่ถ้าเลิก เราก็อยากจะได้สินสอดเราคืนงัย สินสอด 2 แสน ทอง 2 บาท มันไม่น้อยเลย บอกจะคืนให้เรา 5 หมื่นบาท แต่เราขอทอง 2 บาทของเราคืนด้วย เค้าก็ไม่ยอมบอกว่าเป็นของเขาแล้ว ก็ให้เราไปฟ้องศาลเอาเองถ้าอยากจะได้ บอกว่าทางเค้าเสียหาย
แล้วแบบนี้จะเรียกว่ารักหรือ แค่เรื่องทะเลาะกันก็มาขอเลิก ค่าใช้จ่ายในงานเราก็ช่วยทุกอย่างเพราะเรารัก เงินทุกบาท เราทำงานตั้งใจเก็บเงินเพื่อจะมาแต่ง กว่าจะหามาได้ เอาไปแบบนี้มันง่ายเกินไปมั้ยถ้าเรื่องกฏหมายเราอาจจะไม่รู้เยอะ แต่ทำกันแบบนี้เค้าเรียกว่าอะไร “ พร้อมกับลงรูปงานแต่งงานของบ่าว สาว คู่หนึ่ง และทำให้มีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ซึ่งทราบว่าบ่าว สาว คู่นี้เป็นชาวจ.ราชบุรี
ในวันนี้ ( 22 มี.ค.67 ) ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปขอพูดคุยกับทางเจ้าบ่าว ซึ่งทราบชื่อคือนายเอก (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี ก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าคบกับเจ้าสาวมาตั้งแต่ปี 2564 และตกลงกันว่าจะแต่งงานกันในวันที่ 16 มี.ค.67 ได้มีการพูดคุยกันเรื่องสินสอด พูดคุยเรื่องการจัดงาน ยอมรับว่าตอนพูดคุย ไม่ได้มีการสื่อสารกันให้ชัดเจน เรื่องเงินค่าซอง และเรื่องรูปแบบงาน และไม่รู้ว่าจะต้องออกค่าใช้จ่ายเรื่องการจัดงานด้วย จึงทำให้มีปัญหากัน หลังแต่งงานได้ 3 วัน เจ้าสาวก็ขอกลับมาอยู่บ้านของตัวเอง และช่วงนั้นก็มีการพูดคุยกันเรื่องของค่าใช้จ่ายในงานที่ยังค้างอยู่ จึงทำให้เกิดมีปากเสียงกัน จนเรื่องลุกลามใหญ่โต เมื่อวานนี้ทั้งสองฝ่ายได้นัดพูดคุยตกลงกันที่สภ.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง เกี่ยวกับเรื่องเงินสินสอดดังกล่าว เจ้าสาวบอกว่า ไม่คืนให้ทั้งหมด เพราะฝ่ายเจ้าสาวเองก็เสียหายที่ต้องเลิกรา แต่ฝ่ายเจ้าสาวไม่ยอม แต่สุดท้ายส่งข้อความมาบอกว่าจะคืนเงินให้ 50,000 บาท ให้ส่งเลขบัญชีไป ซึ่งตนก็ขอทอง 2 บาท คืนด้วย แต่ทางเจ้าสาวไม่ยอม หลังจากนั้น ทางนั้นก็เงียบไป ไม่สามารถติดต่อได้ ตนอยากขอความเห็นใจให้เจ้าสาวคืนเงินสินสอดจำนวน 50,000 และทอง 2 บาทมาให้ตน เพราะทางบ้านตนก็มีการจ่ายค่าใช้จ่าย จ่ายค่าจัดงานไปแล้ว ถามว่าตอนนี้ยังรักอยู่ไหม ก็ยังรัก แต่ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตคู่ อยู่ด้วยกันได้อีกแล้ว เพราะมีปัญหา มีปากเสียงกันเรื่องนี้ พูดจาทำร้ายจิตใจกันไปแล้ว หลังจากนี้แค่อยากได้เงินสินสอดกับทองคืน แล้วก็ยินดีจะแยกทางกันไปด้วยดี
นอกจากนี้ผู้สื่อข่าว ได้ติดต่อขอไปพูดคุยกับทางเจ้าสาว ชื่อนางสาว เอ (นามสมมุติ) ก็บอกว่า จุดเริ่มต้นมาจาก เงิน 3,500 บาท ค่ารูปถ่ายที่ทางเจ้าบ่าว มาทวงถามให้ตนไปคุยกับแม่ว่าจะเอายังไง ทำให้ตนโมโหมาก และยังมีปัญหามาตั้งแต่วันแต่งงาน ทั้งเรื่องโต๊ะจีนเลี้ยงแขกที่ทางญาติเจ้าบ่าวมากันมากจนทำให้อาหารล่ม ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ และยังมีเรื่องของซองที่แขกมาช่วยงานทางแม่เจ้าบ่าวก็นำกลับไป ทำให้แม่ของตนต้องนำเงินค่าสินสอดมาจ่ายค่าโต๊ะจีน และเมื่อตนกลับอยู่ที่บ้านของเจ้าบ่าวครบตามประเพณีคือ 3 วัน ก็ขอกลับมาทำงานและขอกลับมาอยู่บ้านก่อนเพราะตนเองนั้นต้องทำงานเพื่อเลี้ยงครอบครัวและก็ใช้หนี้ที่ตนเองมีอยู่ ขอมาทำงานให้จนครบสิ้นเดือนจากนั้นจะกลับไปอยู่ที่บ้านเจ้าบ่าว ในวันนั้นเจ้าบ่าวก็มาส่งให้ที่บ้านและทางเจ้าบ่าวได้ส่งข้อความมา สอบถามเรื่องเงินและก็พูดชวนทะเลาะ มีการพูดถึงเรื่องภรรยาเก่าว่ามาในงานด้วย ซึ่งตรงนี้ตนยอมรับว่าโมโหมาก ซึ่งไม่ได้มาพูดให้ฟังเพราะมันเป็นเรื่องวันงานของเรา และมีการพูดคุย ในเรื่องของค่าสินสอด ซึ่งตนก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ ก็เลยทะเลาะกัน จึงตัดปัญหา ว่าจะคืนเงินให้ 50,000 บาทแล้วจบ แต่พอมานั่งคิดดู เราเป็นผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียหาย ทั้งไปอยู่บ้านเจ้าบ่าว และที่ผ่านมา เงินสินสอดนี้ เป็นเงินที่ตนจะต้องได้เพราะเป็นค่าเลี้ยงดูของคุณแม่ ซึ่งเป็นไปตามประเพณีและการตกลงระหว่างผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่าย ยืนยันว่าจะไม่คืนเงินค่าสินสอดทั้งหมดรวมถึงทอง 2 บาทด้วยและทั้งนี้ต้องปล่อยให้เป็นไปตาม กระบวนการของกฎหมายต่อไป เนื่องจากทางฝ่ายผู้ชายมีการโพสต์รูปโดยที่ไม่ปกปิดใบหน้าทั้งตนเองและคุณพ่อคุณแม่สร้างความเสื่อมเสีย สร้างความเสียหายให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก อีกทั้ง สังคมก็ได้ประนามตนรถทัวร์มาลงหน้าบ้าน ทำให้ตนเองอับอายเป็นอย่างมากตรงนี้ตนต้องขอให้เป็นไปตามกฎหมายทั้งนี้ยืนยันว่า จะไม่กลับ ไปใช้ชีวิตคู่กับเจ้าบ่าวอีกแล้ว และตนไม่ได้เป็นมิจฉาชีพที่ถูกกล่าวอ้าง ไม่ได้จัดงานแต่งและเชิดสินสอดตามที่เป็นข่าว