วันที่ 21 มี.ค. 2567 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการตำรวจ (ก.ตร.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายข้าราชการตำรวจระดับผู้บัญชาการทั่วประเทศ ว่า ในการประชุมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมด ก็ชัดเจนแล้วว่าเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่เกิดขึ้น ขณะนี้ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ก็ไม่อยากให้นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทุกท่านไปฝักใฝ่กับเรื่องนี้ เรามีภารกิจใหญ่ก็คือการดูแลพี่น้องประชาชนเป็นหลัก และตนได้มอบนโยบายไปแล้วหลายด้าน ทั้งเรื่องเว็บพนันออนไลน์ ยาเสพติด หนี้นอกระบบ การอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว รวมทั้งเรื่องงานของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งทุกคนก็ทราบดีแล้วว่าเรามีงานหลายด้าน ในเรื่องของความสมัครสมานสามัคคี เรื่องนี้ไม่ต้องไปฝักใฝ่กับคนใดคนหนึ่ง ขอให้เราเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า 10 ข้อหลักที่ได้มอบนโยบายไป ได้เน้นย้ำเรื่องใดเป็นพิเศษ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกเรื่องเท่ากันหมด เพราะประชาชนแต่ละพื้นที่มีปัญหาแตกต่างกันไป
เมื่อถามว่า ในเรื่องของความรักความสามัคคี หลังเกิดข้อพิพาทที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำอะไรบ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็บอกไปแล้วว่าต่อไปนี้ก็ไม่ต้องไป และเชื่อว่าแต่ละคนก็มี สิทธิ์ที่จะรักใครชอบใคร ซึ่งมีความแตกต่างกันไป บางคนรักคนนี้ บางคนชอบคนนี้ แต่ทุกคนที่มาอยู่ตรงนี้ก็เพื่อพี่น้องประชาชน เพราะฉะนั้นขอให้เอาความรักเก็บไว้ในใจดีกว่า และเรื่องของการที่เราจะไปก้าวก่ายหรือให้ข่าวต่างๆ ก็ไม่อยากให้มีอีกแล้ว เราไม่มีหน้าที่จะไปให้ข่าวเพื่อสนับสนุนใครคนใดคนหนึ่ง เรามีหน้าที่ ที่จะดูแลพี่น้องประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่าในประเด็นการตั้ง 3 คณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบจะมีผลเกี่ยวข้องกับวินัยหรือบทลงโทษที่จะตามมาภายหลังหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าทุกอย่างเรายึดตามกระบวนการยุติธรรม ตามกฎหมาย ชุดนี้เป็นคณะกรรมการเพื่อสืบหาความจริงก่อน
เมื่อถามว่า หลังจากนั้นจะมาผูกพันกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเรื่องของวินัยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ต้องแล้วแต่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร อันนี้เราอย่าเพิ่งพูดไปไกล เพราะทั้ง2ท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ก็ต้องให้ให้เกียรติทั้ง 2 ท่านด้วย ซึ่งกรอบระยะเวลาก็ต้องให้เร็วที่สุด ตนไม่แน่ใจว่า 60 วัน แต่ถ้าเร็วกว่านั้นได้ก็ดี เพราะเราต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้ง2ท่านด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่าพายุที่เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจฯจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมใต้น้ำในการบริหารราชการแผ่นดินหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ทราบครับ เมื่อถามย้ำว่าคิดว่าเอาอยู่ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ไม่ตอบคำถามดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าผลที่ออกมาจะสามารถนำมาใช้ทางปฏิบัติได้เลยใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ต้องดูว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร อย่าเพิ่งมองไปไกลว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร หรือต้องทำอย่างไรต่อ อย่างที่บอกไปว่าเราอย่าไปชี้นำกระบวนการยุติธรรม หรือทำให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีความไม่สบายใจ
"วันนี้เราต้องการให้สังคมมีความสบายใจว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สามารถเดินไปข้างหน้าได้ ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ประชาชนทุกคนสบายใจว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เองก็ยึดมั่นในกฎหมาย" นายเศรษฐากล่าว
เมื่อถามว่าในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะสะท้อนภาพความเชื่อมั่นอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องให้ประชาชนเป็นคนพูด ตนมีหน้าที่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ก็ต้องบริหารจัดการกันไป
“ วันนี้ผมคิดว่าเราเลือกจบกันได้และเดินไปข้างหน้าดีกว่า ดูแลปัญหาเรื่องยาเสพติด เรื่องพนัน ออนไลน์ บ่อน เรื่องขโมย เรื่องโจรดีกว่า ซึ่งทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ก็มีหน้าที่ตรงนี้อยู่แล้ว เราควรไปโฟกัสในเรื่องที่ควรจะโฟกัสดีกว่า เพราะทั้ง2ท่านนี้ก็ถูกโยกไปอยู่ในสำนักนายกฯแล้ว ก็ขอให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปได้ อย่าไปกดดัน อย่าไปชี้นำอะไรเลยดีกว่า ปล่อยให้เดินไปตามเรื่องของมันดีกว่า และเมื่อถึงเวลาเขาก็จะออกมาชี้แจงกันเอง และรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็มีภารกิจหนักอยู่ในตอนนี้ เพราะพี่น้องประชาชนเองก็เดือดร้อน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเดือดร้อน
เพราะฉะนั้นทุกคนต้องกลับมาดู ที่เรายืนอยู่ตรงนี้เรายืนอยู่เพื่อใครและเพื่ออะไร เมื่อทุกอย่างเราทำเพื่อประชาชน เราก็ต้องทำต่อไป ส่วนเรื่องดราม่าต่างๆมันจบไปแล้ว ก็ให้กระบวนการยุติธรรม ซึ่งมันได้เดินหน้าของมันไปแล้ว และน่าจะปราศจากการแทรกแซงด้วย ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกๆฝ่าย ถ้าเรามัวแต่มาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้พี่น้องประชาชนจะเดือดร้อน ทุกท่านเองก็จะไม่โฟกัสในการทำงาน” นายเศรษฐา กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อสักครู่ก่อนการประชุมก็ได้พูดคุยกับรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้วว่าเราต้องทำอะไรกันบ้าง และบ่ายวันเดียวกันนี้ ท่านก็จะให้นโยบายลงในรายละเอียด แต่ละหน่วยงาน
เมื่อถามว่าเมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่ได้พูดคุยกับคณะกรรมการตรวจสอบทั้ง 3 ท่าน ได้วางแนวทางในการทำงานและการตรวจสอบอย่างไรบ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า มีการพูดคุยกันนิดเดียว อย่างไรก็ตามทั้ง 3 ท่าน เป็นผู้อาวุโส ในหน้าที่การงานอยู่แล้ว และเคยอยู่ในคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องข้อเท็จจริงในหลายๆเรื่องอยู่แล้ว ตรงนี้ตนมั่นใจว่าท่านให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และตนได้บอกไปแล้วว่าไม่มีธง และไม่ได้มีอะไรมาแทรกแซง ขอให้ทั้ง3ท่านทำงานไปเลย ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายทั้ง2ท่าน
เมื่อถามว่าได้แบ่งงานให้กับคณะกรรมการหรือยัง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ยังไม่ได้แบ่งงานเพราะยังไม่มีเวลาและวันที่ 20 มี.ค. เกิดเรื่องขึ้นมา และวันนี้แต่เช้าก็เดินทางมาที่สำนักงานตำรวจฯและเดี๋ยวมีภารกิจในเรื่องของจิตอาสา แต่เดี๋ยวมีเวลาก็จะพูดคุยกันต่อ
ผู้สื่อข่าวถามว่าเชื่อว่าปัญหาในลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ผมหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก”
เมื่อถามว่าคิดว่าจะสร้างภาพลักษณ์ และความศรัทธากลับคืนมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า คิดว่าคำว่าสร้างภาพเป็นคำพูดที่ผิด เรามาที่นี่ไม่ต้องการสร้างภาพอะไร ภาพที่มันออกไปก็คือการสะท้อนการกระทำ ตนเชื่อว่าตรงนี้ภาพที่ออกไปอย่างไรเวลาก็จะตอบเอง ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ก็มีหน้าที่ของตัวเอง ภาพที่ออกไปก็ได้จากการกระทำที่พวกเราทำกันเองทั้งนั้นนั่นแหละ
เมื่อถามย้ำว่ายากหรือไม่ในการตัดสินใจครั้งนี้ ที่ต้องเซ็นให้ผบ.ตร. ไปช่วยราชการ นายเศรษฐา กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ยากครับ ลำบากใจและไม่สบายใจ แต่ต้องทำครับ“
เมื่อถามว่ามูลเหตุนอกจากเรื่องของความขัดแย้งแล้ว มีอย่างอื่นแทรกซ้อนหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าเราพูดกันเยอะมากพอแล้ว และส่วนตัวก็ได้ให้ความกระจ่างกับเรื่องนี้ไปเยอะแล้วเหมือนกัน และพอแล้ว ไม่อยากกลับไปพูดอีก และเชื่อว่าทุกคนทราบดีอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า หลายคนมองว่าการเซ็นต์คำสั่งย้ายครั้งนี้เป็นการกลบปัญหาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วกัน ก็เข้าใจในแง่ของคนที่มอง และยังมองว่าเป็นห่วง ไม่เป็นไรให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ และการกระทำเป็นตัวบ่งบอกแล้วกันว่าการทำอย่างนี้ทุกอย่างมันดีขึ้นหรือเปล่า และให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่ายหรือเปล่า
เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่มีการเด้งตำรวจใหญ่ทั้ง2คนพร้อมกัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ได้มองอย่างไร แต่ละเหตุการณ์ก็มีตัวแปรที่แตกต่างกันไป แต่ละคนก็มีหน้าที่ แต่ละผู้นำก็มีหน้าที่แตกต่างกันไป บริบทต่างๆก็ต่างกันไปเช่นกัน รวมทั้งปัญหา เพราะแต่ละยุคแต่ละสมัยปัญหาก็เปลี่ยนไป อย่างเช่นการพนันออนไลน์เมื่อก่อนก็ไม่มี เดี๋ยวนี้ก็แพร่หลายอย่างมาก บุหรี่ไฟฟ้าสมัยก่อนก็ไม่มี ยาบ้าสมัยก่อนมีน้อยตอนนี้ก็มีเยอะ ตอนนี้ก็แตกต่างกันไปหลายอย่าง
วันนี้เราเอาเรื่องของประชาชนเป็นหลักดีกว่า และให้กำลังใจกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ปฏิบัติหน้าที่ของเขาอย่างสมเกียรติก็แล้วกัน ส่วนเรื่องคดีความเมื่อจบไปแล้ว เดี๋ยวท่านก็กลับมาใหม่ อย่าเพิ่งไปทำให้เกิดความแตกแยกเลย อย่าให้เกิดรอยร้าวทางจิตใจดีกว่า วันนี้เรามาทำงานกันดีกว่า เพราะส่วนตัวเชื่อว่าทุกท่านอยากให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้า และประชาชนมีความสุข
ผู้สื่อข่าวถามว่ายืนยันใช่หรือไม่ว่านายตำรวจทั้ง 2 ท่านจะกลับมาภายใน 60 วันถ้าผลสอบเสร็จ นายกรัฐมนตรี กล่าวสวนทันทีว่า "ผมยืนยันอะไรไม่ได้ ถ้ายืนยันได้คงไม่ต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ ก็ต้องรอให้คณะกรรมการท่านได้ดูก่อน สืบหาความจริงทั้ง 2 ท่านก่อน แต่ถ้าเดินหน้าไปแล้ว 30 วัน 60 วัน ถ้าเกิดพิสูจน์แล้วไม่มีปัญหาก็กลับมาใหม่ อย่างที่ผมได้พูดไปแล้วชัดเจน พูดไป 3 หนแล้วว่าถ้าเกิดไม่มีปัญหาก็กลับมาใหม่ เพราะท่านเองท่านไม่ได้ถูกลงโทษ"
เมื่อถามว่า แต่จะไม่ถึงขั้นเลวร้าย ถึงขั้นต้องเกษียณกันไปข้างหนึ่งใช่หรือไม่ นายเศรษฐา ย้ำว่า ตนไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับการที่คณะกรรมการจะได้พิสูจน์ทราบว่าผลของการพิสูจน์เป็นอย่างไร ตนถึงได้บอกและย้ำว่าขอทุกท่านอย่าไปคิดล่วงหน้าว่าถ้าเกิดเป็นอย่างนั้น แล้วจะต้องเป็นอย่างนี้ ขอให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปได้ ด้วยความยุติธรรมดีกว่า และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายดีกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในอดีตเคยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบในลักษณะนี้ แต่ปรากฏว่ากลับต้องมาใช้คำสั่งของคณะกรรมการของ ตร. เป็นผู้พิจารณาใหม่ นายเศรษฐากล่าวย้อนว่า “ สื่อใช้คำถูกแล้ว ว่าเป็นเรื่องในอดีต แต่อันนี้มันปัจจุบันครับ ผู้นำก็คนละคน”