เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 18 มี.ค.67 นางสาวอัมพร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี ได้เดินทางมาที่มูลนิธิปวีณาหงสกลุเพื่อเด็กและสตรี ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เพื่อขอให้ช่วยเหลือหลังถูกหลอกไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศกัมพูชา แต่ตนเองไม่ยอมทำจึงถูกทำร้ายร่างกายและตนเองหนีออกมาได้จึงขอให้ท่านปวีณาช่วยเหลือเรื่องการพาไปรักษาพยายามและช่วยเหลือพวกเพื่อนๆของตนเอง
นางสาวอัมพร บอกว่า เริ่มต้นเมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว ตนเองได้พบกับสาวทอมคนหนึ่งชื่อแจง ที่ท่ารถเชียงราย แล้วได้พูดคุยกันเรื่องทั่วไป ก่อนที่จะแยกย้ายกันขึ้นรถทัวร์มาลงรังสิต กลับมาเจอกันอีก และในจังหวะนั้นต้องการที่จะหาโรงแรมพักจึงได้ชวนกันไปเปิดห้อง ซึ่งทางแจงก็ได้เริ่มพูดชักชวนให้ไปทำงานเป็นแอดมินที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งตนแรกตนเองยังไม่ได้ไปจึงได้ขอเฟชบุ๊คไว้ ก่อนที่จะมีปัญหาเรื่องเงินจึงตัดสินใจทักไปหาแจง เพื่อที่จะขอเดินทางไปทำงาน จนกระทั้งเมื่อวันที่ 4 มี.ค. จึงได้มีการนัดแนะให้ไปเจอกันที่ จังหวัดสระแก้ว เมื่อตนเองไปถึงก็พบกับคนชื่อแจง โดยแจ้งว่าต้องเปลี่ยนไปเข้าที่จังหวัดสุรินทร์ เมื่อไปถึงด่านช่องจอม ได้มีคนมารับแล้วพาเดินไปที่บ้านหลังหนึ่ง เมื่อเข้าไปในบ้านก็เดินทะลุหลังบ้านที่เป็นกำแพงแต่ทุบเป็นรูโหว่ไว้ ไปที่สะพานไม้ที่มีบ้านอีกหลังอยู่ฝั่งประเทศกัมพูชาโดยมีคนเปิดประตูไว้ และมีคนมารับอีกทอด ซึ่งเขาพาไปที่ 9 จี ซึ่งหลังจากที่ไปถึง ก็โดนยึดโทรศัพท์และบัตรประชาชน รวมถึงพาสปอร์ต ซึ่งตนเองก็พบว่า ตนเองถูกหลอกให้มาทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตนเองจึงปฏิเสธที่จะไม่ทำ ก่อนที่จะโดนทำร่ายร่างกายทั้งตบ ต่อย เตะ ให้ยืนยกเก้าอีกห้ามขยับ ให้ยืนตากแดด วิ่งขึ้นลงบันได และยังมีการใช้กระบองไฟฟ้าช็อตตามร่างกายอีก ซึ่งคนที่ทำก็เป็นคนไทย ซึ่งตอนเองคาดว่าน่าจะเป็นคนไทยใหญ่ ซึ่งเป็นผู้คุม โดยมีบอสเป็นคนจีน และคนงานที่นี่มีประมาณเกือบ 100 คน ซึ่งตนเองโดยทรมานแบบนี้ตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค. ที่ไปถึงทั้งวันทั้งคืน
จนถึงวันที่ 16 มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งตลอดเวลาที่อยู่ที่นั้น ต้องทนทุกข์ทรมานโดนทำร้ายทุกวันไม่มีวันหยุด จนตนเองได้แอบตีสนิทกับคนไทยซึ่งเป็นผู้หญิง ซึ่งได้ช่วยเหลือตนเองในการติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนกระทั้งพี่เขาโดนจับได้ว่าแจ้งตำรวจ จึงถูกขายไปให้อีกกลุ่มซึ่งคาดว่าน่าจะพาไปทำงานขายตัว และในวันที่ 16 มี.ค. นั้นเอง ทางผู้ที่ควบคุมได้มาพาคนงานทั้งหมดย้ายออกเนื่องจากตำรวจไทยกับกัมพูชาจะเข้ามาจับกุม ซึ่งคนงานมีประมาณ 100 คน ซึ่งทั้งหมดจะเป็นคนไทย และส่วนใหญ่จะยินยอมทำงานเพราะได้ผลประโยชน์ และ เป็นบุคคลที่มีหมายจับถูกตามล่าตัว ซึ่งเคยได้ยินเขาคุยกัน เพราะถ้ากลับมาไทยก็อาจจะถูกจับดำเนินคดีจึงยอมที่จะทำงานที่นั้นต่อ ซึ่งวันที่เขามาขนย้ายคนนั้น ได้พาออกจากคล้ายเนินสูงลงมาทางด้านหลังแล้วเอามาพักไว้ที่โรงแรมหนึ่ง จากนั้นประมาณ 2 ชั่วโมงก็จะพาย้ายไปโรงแรมที่ 2 และ 3 ก่อนที่ตนเองและเพื่อนรวม 5 คนได้ตัดสินใจกระโดดรถหนีก่อนที่จะวิ่งสุดชีวิต จนรอดพ้นมาได้ ก่อนที่จะเข้าร้องขอความช่วยเหลือจากนางปวีณา หงสกุล ต่อไป
ด้าน นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี กล่าวว่า ฝากเตือนอย่าไปเชื่อให้คนเขาหลอกไปทำงานที่ปอยเปตหรือที่ไหนก็ตามหรือที่เมียวดีประเทศเมียนมาซึ่งก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหนีอออกมาได้มาหามูลินธิปวีณาฯเพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงอยากจะประชาสัมพันธ์ว่านี่คือตัวอย่างที่น้องวเขาถูกหลอกไปให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์และเมื่อน้องเขาไปยอมทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์ก็ถูกทุบตีทรมานเอาไฟฟ้าช็อตน้องถูกกระทำอย่างโหดเหี้ยมซึ่งทางมูลนิธิปวีณาฯก็จะจะประสานกับทางเจ่าหน้าที่ตำรวจเพื่อที่ขยายผลให้ทุกคนได้รับรู้รับทราบว่ามันใช่ว่าจะได้เงินอย่างง่ายเดียแต่เราต้องเสียทั้งเงินเสียทรัพย์เสียทั้งตัวด้วยบางคนก็ถูกให้ไปค้าประเวณีขายต่อเมื่อไม่ยอมทำงานให้คอลเซ็นเตอร์ครั้งนี้หนีจากความตายได้ถ้าหนีไม่ทันก็อาจถูกฆ่าตาย