วิโรจน์ไม่หวั่นพรรค ก้าวไกลถูกยุบ บอกดี ปล่อยเสือ 44 ตัวเข้าป่า รอบใหม่ ยันซักฟอกไม่แตะทักษิณ อ้างเน้นชำแหละโครงสร้างไม่ใช่บุคคลอาจทำให้เกิดความขัดแย้งแตกแยก ลั่นงานนี้พร้อมจัดหนักไม่มีเกี๊ยเซียะรัฐบาลแน่นอน พร้อมหนุนปูใช้โมเดลทักษิณกลับประเทศ ด้าน"โฆษกเพื่อไทย"ชี้"นายกฯ"จริงจังแก้ฝุ่นพิษเชียงใหม่ ไม่โปรแกรมนัดคุยทักษิณตามข่าวลือ
ที่ร้านอาหารพริ้มเพลิน จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 10 มี.ค.67 คณะกรรมาธิการ(กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร จัดสัมมนาเรื่อง การใช้พื้นที่ทหารบทบาทหน้าที่ของทหารกับท้องถิ่นในการพัฒนาประเทศ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ว่า มีเรื่องให้อภิปรายหลายประเด็น จะเป็นการทวงสัญญารัฐบาลว่าจะทำหรือไม่ทำ ตามที่ได้แถลงนโยบายไว้ มีความคืบหน้าไปถึงไหน รวมถึงสิ่งที่ทำมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะเป็นลักษณะของการเสนอแนะว่าสิ่งที่รัฐบาลควรทำ และไม่ทำคืออะไร นอกจากนี้ยังมีปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบถึงคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งเรื่องมาเฟียข้ามชาติ อิทธิพลท้องถิ่น รวมถึงการเรียกรับผลประโยชน์จากข้าราชการบางกลุ่ม ทุนสีเทา คอลเซ็นเตอร์ ไปจนถึงปัญหายาเสพติด การใช้อำนาจรัฐที่ไม่มีหลักนิติธรรม ระบบสองมาตรฐาน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองเรื่อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมเดินทางไปจ.เชียงใหม่อย่างไรบ้าง นายวิโรจน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของนายทักษิณ พวกเราไม่เคยสนใจประเด็นของนายทักษิณเลย แต่สนใจเนื้อหาสาระ และสิ่งที่นายทักษิณได้รับว่าเป็นสิทธิพิเศษหรือไม่ หรือคนอื่นที่มีเงื่อนไขคล้ายนายทักษิณพึงจะได้รับด้วย ถ้าเป็นเรื่องสิทธิมาตรฐานเราเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร
ส่วนจะเป็นโมเดลให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาด้วยหรือไม่นั้น คงต้องติดตามดู แต่ตนคิดว่าสังคมไทยบาดเจ็บจากการเอาบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาเป็นเงื่อนไขในการขัดแย้งมากพอแล้ว สมัยก่อนก็มีเรื่อง นายปรีดี พนมยงค์ , จอมพลถนอม กิตติขจร , จอมพลประภาส จารุเสถียร ไล่มาจนถึง พล.อ.สุจินดา คราประยูร และนายทักษิณ ตนคิดว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล แต่อยู่ที่ตัวโครงสร้าง
ขอให้สบายใจว่าพรรคก้าวไกลไม่เคยมีความคิดเลยที่จะหยิบยกเอาบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งในหมู่ประชาชน และใช้วิธีการเช่นนั้น ทำให้สังคมกลับมาแตกแยกอีก แต่เราจะมุ่งแก้ไขที่โครงสร้าง วิพากษ์วิจารณ์และแก้ไขเนื้อหาสาระเป็นหลัก ดังนั้นยังยืนยันว่าทั้งน.ส.ยิ่งลักษณ์และนายทักษิณ ไม่ได้อยู่ในสารบบคิดของพรรคก้าวไกลแต่เราให้ความสนใจ ใส่ใจ กับสิ่งที่นายทักษิณได้รับ ถ้าเกิดได้รับบุคคลอื่นที่อยู่ในเงื่อนไขเดียวกันก็ควรได้รับด้วย
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า นายทักษิณควรได้รับความยุติธรรม ไม่ใช่ได้รับอภิสิทธิ์ ส่วนที่มีคนมอบว่าเกี๊ยเซียะกันนั้น ถ้าดูบทบาทตนก็คิดว่าไม่ได้เกี๊ยเซียะยังจัดหนัก จัดเต็ม เมื่อถามว่า การไปเชียงใหม่ของนายทักษิณครั้งนี้ มีกระแสข่าวว่าอาจไปตลาดพบประชาชนด้วย จะเหมาะสมหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ต้องย้อนถามกรมราชทัณฑ์ว่าทำได้หรือไม่ ก้าวไกลคงไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า เห็นด้วยหรือไม่หากนำโมเดลของนายทักษิณมาใช้กับนักโทษคนอื่น นายวิโรจน์กล่าวว่า เห็นด้วย เพราะเป็นสิทธิ์ตามมาตรฐาน นักโทษคนอื่นก็ควรได้รับสิทธิ์นั้น เป็นเรื่องง่ายมาก ในยุคที่นายทักษิณถูกขับไล่ไม่ได้รับความเป็นธรรม จำได้หรือไม่ว่าคนเสื้อแดง ต่อสู้ในบริบทไหน ดังนั้นเราไม่ควรเลือกปฏิบัติ ซึ่งตนคิดว่าทุกวันนี้การต่อสู้นั้นก็ยังอยู่ คำว่าสองมาตรฐานก็ยังหลอนตนอยู่ ซึ่งประเทศไทยต้องการมาตรฐานเดียว
นายวิโรจน์ ยังได้กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการสัมมนาฯ ถึงเรื่องของการยุบพรรคก้าวไกล ว่า ตนไม่กลัวการถูกยุบพรรค เพราะพรรคเป็นเพียงนามธรรม แค่ไปสมัครสมาชิกใหม่ 100 บาท ถูกกว่าการซื้อปลาช่อนอีก แต่ถามว่าถ้าถูกยุบพรรคก็อาจจะจะเหนื่อยหน่อย แต่พรรคก็ไปต่อ ประชาชนก็ไปต่อได้ ดังนั้นส่วนตัวจึงไม่กลัว ส่วนเรื่องส.ส.จำนวน 44 คน ที่มาเสนอแก้ไขมาตรา 112 ตรงนี้ เราก็ยืนยันว่าเราทำงานตามอำนาจหน้าที่นิติบัญญัติ ดังนั้นการที่เราไปมีกิจกรรมร่วมกับประชาชน เกี่ยวกับเรื่องของการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งเราคิดว่าเสียงของประชาชนมีความหมาย เพื่อเสนอกฎหมาย เป็นการร่วมกิจกรรมกับประชาชนเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามรับกฎหมาย
ผมก็ลำบากใจ ทำอะไรไม่ได้ หรือการสู้กับคนบ้า มันก็พร้อมที่จะทำอะไรโดยไม่ต้องสนใจเหตุผล ผมคิดว่า สมมุติผมอยู่ในเลขบ้านเลขที่ 44 แล้วเกิดถูกตัดสิทธิ์ คิดว่าเขาโง่มาก ที่คิดว่าการเดินทางของก้าวไกลขึ้นอยู่กับตัวบุคคล เพราะ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่โดนตัดสิทธิ์ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านชั้น 1 ชั้น 2 มาตลอดไม่เคยต้องดิ้นรนขึ้นไปอยู่ชั้น 14 เหมือนใครบางคน ดังนั้นวิโรจน์ก็ไม่กลัว เพราะมีบ้าน 2 ชั้น ก็คงไม่ต้องดิ้นรนไปอยู่ชั้น 14 ผมพูดอยู่เสมอว่าชีวิตของตัวเองและผู้แทน 44 คน ทุกคนมีเป้าหมายที่อยากเดินทางไป แต่ความสุขของพวกผมไม่ได้อยู่การไปถึงเป้าหมาย แต่การขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายทุกวัน แต่คนบ้า คนบอ คนสติดี คนสติไม่ดี หรืออะไรสักอย่างหนึ่งที่ไม่มีเหตุผล ทำให้ผมต้องหยุดเดินไปสู่เป้าหมายทั้งๆ ที่ก็มีความสุขกับเส้นทางที่เดินมาแล้ว ดังนั้นก็จะมอบหมายให้คนรุ่นใหม่เดินหน้าต่อไป ดังนั้นจึงไม่มีความกังวล เพราะก็ไม่ได้มีความหวังที่จะเป็นรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเป็นแล้วต้องตระบัดสัตย์แล้วจะเป็นทำแมวอะไร
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า วันนี้ในฐานะประธานกรรมาธิการการทหาร วันนี้เรา ทำงานกับกองทัพได้ ไม่ได้มีปฏิปักษ์อะไรกัน และสนับสนุนเรือฟริเกต แม้วันนี้จะมีแค่ลำเดียวก็ไม่เป็นไร แต่ที่สนับสนุน เพราะการต่อเรือเองจะเกิดการจ้างงาน ซึ่งจริงๆ ตนคิดว่ามันขาดแน่ และเชื่อในน้ำเงี้ยวของรัฐมนตรีว่าจะสามารถอธิบายกับตัวแทนรัฐบาล กรรมาธิการและพรรคการเมืองร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้ เรื่องนี้กองทัพคงเข้าใจแล้วว่าก้าวไกลไม่มีปฏิปักษ์กับกองทัพ แต่หวังให้มีความโปร่งใส วันนี้ดูโหงวเฮ้งแล้วตนน่าจะเป็นรัฐมนตรีได้มากกว่านายสุทิน คลังแสง อีก ยืนคู่กันมีคนแซว ว่าดูโหงวเฮ้ง ว่าใครเป็นรัฐมนตรีใครเป็นโฆษกกระทรวงกลาโหมก็ไม่รู้ วันนี้ ใครกลัวว่าก้าวไกลเป็นรัฐบาลแล้วจะไม่ซื้ออาวุธ ก็ไม่จริง แต่จะซื้ออย่างมีเหตุผลและจะทำให้กองทัพและประชาชนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจภายใต้ความโปร่งใส มีเหตุ มีผล เชื่อว่า ถ้ากองทัพประสานกับประชาชนได้เมื่อไหร่ประเทศชาติจะก้าวไปข้างหน้า
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ขอให้นายสุทินคิดดีๆ ถ้าตนอยู่บ้านเลขที่ 44 แล้วมีการยึดอำนาจ แล้วถ้าตนถูกจับ ก็ขออยู่ชั้น 1 ชั้น 2 ไม่ขออยู่ชั้น 14 อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าทหารคงไม่มีการยึดอำนาจรัฐประหารอีกแล้ว เพราะอยู่ในยุคตกต่ำมาแล้วตั้งแต่หลังพฤษภาทมิฬ ประชาชนเจอทหารแล้วด่าถ่มน้ำลายใส่ ดังนั้น วันนี้ทหารจะไม่ไปถึงสถานการณ์ในตอนนั้น แต่สิ่งที่กลัวคือการปฏิวัติรัฐประหารโดยใช้อำนาจตุลาการ และใช้องค์กรอิสระมากกว่า ซึ่งใช้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น นี่คือความกังวลของสังคมมากกว่าดังนั้น เราไม่รอรวมตัว แล้วให้เขามาจับ ท้ายที่สุดเราต้องพยายามขับเคลื่อนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ให้องค์กรอิสระที่มีที่มาไม่ได้ยึดโยงกับที่ประชาชนมีอำนาจในการยุบพรรค 2. ต้องแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระทั้งหมด ให้สามารถตรวจสอบและถ่วงดุลได้ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยหลงอยู่กับคำว่าอิสระ ทั้งๆ ที่เป็นการให้ คนหรือกลุ่มบุคคลใช้อำนาจตามอำเภอใจ ไม่สนใจเสียงประชาชน เหมือนที่เราเจออยู่ในวันนี้ ซึ่งก็ไม่ต้องบอกว่าเป็นใครบ้าง ซึ่งมีหลายพวก ทุกวันนี้ทั่วโลกไม่มีคำว่าอิสระ มีแต่คำว่า ตรวจสอบและถ่วงดุลเท่านั้น ดังนั้น หากเราสามารถทำให้องค์กรอิสระสามารถตรวจสอบถ่วงดุลได้เมื่อนั้นเราจะรอดจากการถูกรัฐประหารโดยปริยาย อย่างที่เป็นอยู่
พรรคอนาคตใหม่ไม่ได้โดนรัฐประหารหรือ พรรคก้าวไกลก็ไม่ใช่ว่ากำลังจะโดนรัฐประหารอยู่หรือไม่ กำลังยื้อกันอยู่ มันก็เครียด แต่ยุบไปก็ตั้งใหม่ได้ 44 คนหายไปก็ใช่ว่าจะหายไปเลย ดีเลยเป็นการปล่อยเสือเข้าป่าอีก 1 ฝูง เพราะฉะนั้น คนพวกนี้แม้จะชั่วแต่ก็ไม่ได้โง่ นายวิโรจน์กล่าว
ด้าน นายดนุพร ปุณณกันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เตรียมลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 15 - 17 มี.ค.67 เพื่อติดตามสถานการณ์ฝุ่น pm 2.5 อย่างใกล้ชิด หลังจากที่นายกรัฐมนตรีใช้โอกาสที่ได้เข้าร่วมประชุมในหลายเวที พูดคุยกับผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นระยะ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงสถานการณ์ฝุ่น pm 2.5 เป็นอย่างมาก มีการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อศึกษาปัญหาฝุ่นที่ต้นตอและเอาจริงเอาจังมาโดยตลอด นับตั้งแต่ก่อนเข้ามาเป็นรัฐบาล เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วได้ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ทันที โดยได้ประชุมมอบนโยบายร่วมกับส่วนราชการมาตั้งแต่ 29 พ.ย.66 และในวันที่ 20 ม.ค.67 นายกรัฐมนตรียังได้ติดตามงานแก้ปัญหาฝุ่น pm 2.5 และได้ทิ้งท้ายว่าจะมาติดตามสถานการณ์อีกครั้ง จึงเป็นการวางแผนการเดินทางล่วงหน้าเพื่อติดตามงานแก้ปัญหาฝุ่น ไม่ใช่การนัดหมายพบกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามที่หลายฝ่ายคาดเดาและให้ข้อมูลในแง่ลบ จนทำให้ความมุ่งมั่นตั้งใจแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนของนายกรัฐมนตรีถูกเข้าใจคลาดเคลื่อนไป ซึ่งโดยส่วนตัว ยังไม่ทราบว่านายทักษิณจะไปจ.เชียงใหม่จริงหรือไม่ และยังไม่ได้พูดคุยกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในเรื่องนี้แต่อย่างใด
นายดนุพร กล่าวว่า การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีเพื่อติดตามสถานการณ์ค่าฝุ่น pm 2.5 ที่ จ.เชียงใหม่ แม้ไม่ได้นัดหมายพบนายทักษิณ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสพบกัน เพราะนายกรัฐมนตรีก็ได้เคยเข้าพบเพื่อขอคำปรึกษาหารือกับนายทักษิณมาแล้วที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หากจะพูดคุยปัญหาในเชิงพื้นที่ใน จ.เชียงใหม่ ก็ย่อมเป็นประโยชน์มากกว่า
"ขอให้พี่น้องประชาชนดูที่ผลสัมฤทธิ์ในความเอาจริงเอาจังในการแก้ไขบ้านเมืองของนายกรัฐมนตรี อย่างเรื่องฝุ่น pm 2.5 แม้ค่าฝุ่นยังสูงขึ้นเป็นบางช่วง แต่ในบางช่วง ถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน ค่าดัชนีฝุ่นลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหมดมาจากการติดตามแก้ไขปัญหาของนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น" นายดนุพร กล่าว
ขณะที่ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรมว.ยุติธรรม กล่าวผ่านรายการสามารถ 5 นาที ว่า ประชาชนถามเข้ามาเยอะว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ไปไหน ไม่เห็นเลย เวลานี้ชาวบ้านเดือดร้อนมากมาย วันนี้นายกฯอยู่ไหน ปรากฎก็มีภาพนายกเศรษฐาแต่งหล่อผูกผ้าพันคอจากร้อยเอ็ดโผล่อยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งวันก่อนก็อยู่ที่ออสเตรเลียสงสารชาวบ้าน ตนถึงบอกท่านนายกรัฐมนตรีว่า วันที่ 14 มี.ค.นี้ ถ้ามีดีลที่จะพบนายทักษิณจริง เพื่อจะไปขอต่ออายุ อย่าเลย ท่านลาออกเถอะ แล้วตนจะเขียนจดหมายไปถึงนายกฯ คนที่ 31 ให้ตั้งนายเศรษฐาเป็นเซลล์แมน หรือผู้แทนการค้า เพราะรู้สึกว่า ท่านชอบบินไปต่างประเทศเหลือเกิน ท่านไม่ชอบอยู่เมืองไทย น่าจะเป็นทางออกที่ดีกับประเทศ
ที่ผ่านมามีคนเล่าให้ฟังว่า ท่านไปต่างประเทศ ที่ท่านบอกว่าเป็นเซลล์แมนนิด ท่านไปทำธุรกิจเพื่อตัวเองหรือเปล่า แต่ตนไม่เชื่อว่าคนที่เป็นถึงระดับนายกฯ จะไปคุยธุรกิจให้ตัวเอง เชื่อว่าท่านคงทำให้ประเทศ แต่วันนี้ชาวบ้านเขายังมองไม่เห็นว่าประเทศไทยได้ประโยชน์อะไรจากการที่นายกฯ บินไปต่างประเทศทุกวัน ประเทศไทยกับไม่อยู่ ตนถึงบอกว่าวันที่ 14 มี.ค.ที่ท่านจะไปพบนายทักษิณที่จ.เชียงใหม่นั้นไม่มีประโยชน์
นายสามารถ กล่าวว่า ในวันที่ 20-22 มี.ค. งบประมาณจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ วาระที่ 2 -3 ตนมั่นใจว่า พรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคก้าวไกล ก็คงอภิปรายด่ารัฐบาลอย่างแน่นอน ถ้าไม่มีการเกี๊ยะเซี้ย ซึ่งประชาชนเขาจับตาดูอยู่ แต่ตนมั่นใจว่าพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคเก่าแก่ก็คงจะต้องมีการเรียกฟอร์มในการอภิปรายดึงคะแนนจากประชาชนกลับมา ถ้าเวทีนี้ไม่สามารถโชว์ได้ ประชาธิปัตย์ก็ไม่ต้องฟื้นแล้ว จากนั้น พอจบงบประมาณ รัฐบาลก็จะโดน สว.ด่าในการอภิปรายญัตติ 153 วันที่ 25-26 มี.ค.นี้ หลังจากนั้นฝ่ายค้าน โดยพรรคก้าวไกลกับพรรคประชาธิปัตย์ก็ยื่นญัตติ 152 ไปแล้ว น่าจะอภิปรายในวันที่ 3-5 เม.ย.พูดง่ายๆ 8 วัน รัฐบาลโดนด่าแน่นอน นายกนิดขาสั่นแน่
นายสามารถ กล่าวต่อว่า การที่รัฐบาลบอกว่า ยังไม่เคยใช้งบประมาณ มันไม่ใช่ วันนี้ข้าราชการเขาได้เงินเดือนทุกวัน ในกฎหมาย ในเมื่องบประมาณยังไม่ผ่าน ก็ให้ใช้งบประมาณเดิมไปก่อน ฉะนั้น บันทึกการใช้เงินมันมีอยู่แล้ว คนขับรถนายกฯเอาเงินที่ไหนเติมน้ำมัน นั่นคือสิ่งที่ตนบอกว่า เวลาพูด ควรพูดความจริงกับประชาชน วันนี้รัฐบาลก็ใช้งบประมาณเก่าอยู่แล้ว วันนี้ยังไม่ปรับคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.ก็รอการพิจารณางบประมาณในวันที่ 20-22 มี.ค.และการอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบไม่ลงมติของทั้ง สว.และ ส.ส.ตนว่าน่าจะเปลี่ยนนายกฯ แล้วก็หลุดไปทั้ง ครม.เลย ก็รอดูว่าจะเป็นจริงอย่างที่ตนพูดหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ งบประมาณวาระ 2-3 ถึงแม้ฝ่ายค้านจะด่ารัฐบาล แต่สุดท้ายเสียงผ่านงบประมาณอย่างแน่นอน ฟันธง