โพลเผยผลสำรวจ"คนไทย"ยังขาดสภาพคล่องด้านการเงิน หรือจนลง ไม่มีเงินซื้อ"บ้าน-รถ" ใหม่ แม้แต่ทอดเวลาไปอีก 1 ปี ก็ยังโงหัวไม่ขึ้น พบส่วนใหญ่บ่จี้มากกว่าอู่จี้

     
เมื่อวันที่ 10 มี.ค.67 สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เปิดผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง แนวโน้มจะซื้อบ้านใหม่ รถใหม่ ของประชาชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศอายุ 18 ปีขึ้นไป ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวน 1,035 ตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติ ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 5 - 9 มี.ค.67 ที่ผ่านมา
     
เมื่อถามกลุ่มตัวอย่างว่า เวลานี้เป็นเวลาดีมีเงินพอที่จะซื้อสินค้าคงทนเช่น ตู้เย็นใหม่ เฟอร์นิเจอร์ใหม่ หรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.3 ระบุ ยังไม่มีเงินพอ ในขณะที่ร้อยละ 16.7 ระบุเวลานี้เป็นเวลาดีมีเงินพอที่จะซื้อสินค้าคงทนเช่น ตู้เย็นใหม่ เฟอร์นิเจอร์ใหม่ เป็นต้น
    
 เมื่อถามกลุ่มตัวอย่างอีกว่า เวลานี้เป็นเวลาดีมีเงินพอที่จะซื้อรถยนต์คันใหม่หรือไม่ แบ่งออกเป็นห้วงเวลานี้กับ อีก 12 เดือนข้างหน้า พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.6 ระบุ ยังไม่มีเงินพอ แต่ในอีก 12 เดือนข้างหน้า พบว่า สัดส่วนของคนที่ระบุยังไม่มีเงินพอลดลงเหลือร้อยละ 76.8 ในขณะที่ ร้อยละ 14.4 ระบุ เวลานี้เป็นเวลาดีมีเงินพอที่จะซื้อรถยนต์คันใหม่ และในอีก 12 เดือนข้างหน้า พบว่า สัดส่วนของคนที่ระบุ จะมีเงินพอที่จะซื้อรถยนต์คันใหม่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 23.2
   
  เมื่อถามกลุ่มตัวอย่างว่า เวลานี้เป็นเวลาดีมีเงินพอที่จะซื้อบ้านหลังใหม่หรือไม่ แบ่งออกเป็นห้วงเวลานี้กับอีก 12 เดือนข้างหน้า พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.9 ระบุ ยังไม่มีเงินพอ แต่ในอีก 12 เดือนข้างหน้า พบว่า สัดส่วนของคนที่ระบุยังไม่มีเงินพอลดลงเหลือร้อยละ 78.7 ในขณะที่ ร้อยละ 14.1 ระบุ เวลานี้มีเงินพอที่จะซื้อบ้านหลังใหม่ และอีก 12 เดือนข้างหน้า พบว่า สัดส่วนของคนที่ระบุ จะมีเงินเพียงพอในการซื้อบ้านหลังใหม่ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 21.3
    
 โดยสรุป รายงานของซูเปอร์โพลภาพรวมพบว่า เวลานี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มีเงินพอ หรือ บ่จี้ มากกว่ากลุ่มคนที่มีเงินพอหรือ อู่จี้ ในการจับจ่ายใช้สอยด้วยเงินก้อนใหญ่ แต่อีก 12 เดือนข้างหน้า ผลสำรวจพบว่าประชาชนที่คิดว่าจะไม่มีเงินพอที่จะซื้อสินค้าคงทน เช่น ตู้เย็น เฟอร์นิเจอร์ รถยนต์ รวมไปถึง บ้าน จะลดลงโดยเชื่อว่าในอีก 12 เดือนข้างหน้าเงินในกระเป๋าจะเริ่มดีขึ้นมีเงินมากพอ อย่างไรก็ตาม ยังเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยอยู่ เพราะคนส่วนใหญ่แม้จะให้เวลาอีก 12 เดือนข้างหน้า คนส่วนใหญ่ก็ยังระบุว่า จะยังไม่มีเงินพอ นั่นหมายถึงว่าเงินในกระเป๋าของประชาชนส่วนใหญ่จะยังขาดมือลากยาวต่อไปอีก