"ป้ามล"บุกร้องขอศาลไม่รับฝากขัง"ตะวัน-แฟรงค์" สองนักกิจกรรม ขอผู้พิพากษาชักฟืนออกจากกองไฟก่อนเกิดหายนะ ด้าน"พ่อตะวัน"รุดขอประกันลูกสาวอีกครั้ง ขณะที่ ศาลฯ ยกคำร้องไม่ให้ประกันตัว2ผู้ต้องหานักกิจกรรม ระบุไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม มีแพทย์ดูแลอาการป่วยใกล้ชิด ผู้ต้องหาไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
จากกรณีที่พนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ได้ยื่นคำร้องขอฝากขัง 2 ผู้ต้องหานักกิจกรรมทางการเมือง น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน และนายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือแฟรงค์ เป็นครั้งที่ 3 ระยะเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 9 - 20 มี.ค.67 นั้น
ล่าสุด ที่ศาลอาญา รัชดาฯ เมื่อวันที่ 10 มี.ค.67 เวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการฝากขังครั้งที่ 3 ของ 2 ผู้ต้องหา ซึ่งขณะนี้มีอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากการอดอาหารและน้ำเพื่อเป็นการประท้วงที่ไม่ได้ความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรมกระทั่งมีอาการน่าเป็นห่วง ทำให้หลายฝ่ายอาทิ นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง รวมทั้งมวลชน ต่างออกมาเรียกร้องให้ศาลพิจารณาไม่รับฝากขังน.ส.ตะวันและนายแฟรงค์ โดยวันเดียวกันนี้ได้มีตัวแทนจากหลายภาคส่วนเดินทางมายังศาลอาญาเพื่อยื่นคำแถลงการณ์ขอให้ความเมตตาศาลให้พิจารณาตามข้อเรียกร้องดังกล่าว
นางทิชา ณ นคร ผอ.ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับ นายสมหมาย ตัวตุลานนท์ บิดาของน.ส.ตะวัน เพื่อยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งสอง เปิดเผยว่า อยากเรียนข้อมูลให้สาธารณะได้รับทราบว่าในปัจจุบันเรือนจำทั่วประเทศมีการคุมขังผู้ต้องโทษกว่า 250,000 ราย โดย 80% เป็นนักโทษเด็ดขาด ส่วนอีก 20% เป็นนักโทษที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีและไม่ได้รับการประกันตัว ต่อมามีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าถึงที่สุดศาลยกฟ้อง แสดงให้เห็นว่าการคุมขัง 20% ดังกล่าวเป็นการคุมขังผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเราต้องมาคำนวณเกี่ยวกับวันเวลา อิสรภาพ โอกาสในการทำมาหากินของพวกเขา ถ้าเราทำงานวิจัย นี่คือความสูญเสียมหาศาล นอกจากนี้ ตนยังอยากย้ำว่าสิทธิในการประกันตัวเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่ได้กำหนดไว้ แต่เรากลับปล่อยให้คนจำนวน 20% เข้าไปอยู่ในเรือนจำฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าการต่อสู้ของ น.ส.ตะวัน น.ส.แบม น.ส.บุ้ง นายแฟรงค์ และนักกิจกรรมทางการเมืองคนอื่นๆ พวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่ตั้งคำถามกับระบบที่เกิดก่อนเขา และเขาก็สงสัยในระบบเหล่านี้ มันเป็นคำถามที่ใหญ่และตบหน้าคนที่เกิดก่อนด้วยซ้ำ
ตนมั่นใจว่าทุกคนรู้สึกว่าระบบยุติธรรมของไทยตอนนี้กำลังเดินทางเข้าสู่วิกฤติศรัทธา ดังนั้นการต่อสู้ของเด็กๆทั้งหมด เป็นเรื่องที่บุคคลภายนอกอย่างเราต้องไม่อยู่เฉย และถ้าทุกคนรู้สึกว่าการอดอาหารประท้วงของพวกเขาเป็นการตัดสินใจกันเอง และถ้าอยากสาปแช่งให้เด็กเหล่านี้ติดคุกและเสียชีวิต เเละถ้าพวกคุณรู้สึกเกรี้ยวกราดต่อการท้าท้ายอำนาจรัฐของเด็ก เราก็อยากบอกว่าพวกคุณกำลังลดทอนคุณค่าของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าในอนาคตกฎหมายยังไม่ได้ถูกออกแบบไว้เป็นอย่างดี วันนั้นอาจเป็นชะตากรรมของลูกหลานของพวกคุณก็ได้ที่เจอกฎหมายไม่เป็นธรรม สรุปแล้วการประท้วงเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของตะวัน แฟรงค์และบุ้งโดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงไม่ใช่การเรียกร้องเพื่อตัวเอง แต่ต้องการระบบที่มันยุติธรรม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเด็ดเดี่ยวของเด็กๆในนาทีนี้มันเข้าสู่สัญญาณอันตราย ตนและคนข้างนอกไม่อาจอยู่เฉยได้แม้ผลจะเป็นอย่างไร
นางทิชา กล่าวว่า การที่เรามาที่ศาลเพราะยังเหลือศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นจึงหวังว่าจะยังคงมีผู้พิพากษาที่มีความเป็นมนุษย์ในสถาบันแห่งนี้จะกล้าหาญพอที่จะชักฟืนออกจากกองไฟให้ได้ เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ เพราะในอดีตเรามีประวัติศาสตร์บาดแผลมามากมายแล้ว นี่จึงเป็นอีกครั้งที่เราจะเลือกว่าจะสร้างประวัติศาสตร์บาดแผลหน้าใหม่ หรือจะเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นระบบที่เหมาะสมอยู่ร่วมกันได้
แม้ผู้ใหญ่จะรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาท ไม่น่ารัก แต่คำถามคือมันสมเหตุสมผลหรือไม่ที่จะใช้กฎหมายตั้งข้อหาอย่างรุนแรงขนาดนี้ ตนขอถามว่าพวกคุณตอนเด็กน่ารักทุกวันหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ ลูกหลานในบ้านคุณน่ารักทุกวันนี้หรือไม่ ก็ไม่ใช่ ทั้งนี้ ตนเชื่อว่ามีคนจำนวนมากในสถาบันนี้จะมีความกล้าหาญที่จะช่วยชักฟืนออกจากกองไฟก่อนที่เราจะสูญเสียมากไปกว่านี้
ด้าน นายนภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ หรือ สายน้ำ ลูกชายอาจารย์ชื่อดัง กล่าวว่า นอกจากวันนี้ทางป้ามลจะยื่นคำแถลงต่อศาลเพื่อคัดค้านการฝากขัง ยังมีคุณพ่อของน.ส.ตะวันที่มายื่นขอประกัน เพราะเขาห่วงลูกสาวมาก นอนไม่หลับ และจะอยู่ฟังผลของศาลว่าจะอนุญาตหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่นางทิชาและบิดาของน.ส.ตะวันได้ขึ้นไปยื่นเอกสารคำร้องคัดค้านการฝากขังและขอปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งหมดได้ลงมาทำกิจกรรมจุดเทียนบนขั้นบันไดหน้าศาลอาญา พร้อมร้องเพลงเเสงดาวแห่งศรัทธา จากนั้น รปภ.ได้ขอความร่วมมือให้ทั้งหมดไปจุดเทียนที่ด้านนอกบริเวณศาล ต่อมาได้เคลื่อนไปยังพื้นที่อนุญาตและจุดเทียนพร้อมร้องเพลงเพื่อมวลชน นอกจากนี้ เมื่อช่วงเวลา 09.30 น.ที่ผ่านมา ได้มีเยาวชนหญิง "น้องหยก" ได้ใช้ลิปสติกสีแดงเขียนลงบนเสาหน้าศาลอาญาด้วยอักษร ค ก่อนที่มวลชนโดยรอบจะขอให้น้องหยกยุติการกระทำดังกล่าว และนำผ้ามาเช็ดทำความสะอาด จากนั้นน้องหยกได้เดินไปยังบริเวณด้านหน้าศาลและใช้ลิปสติกแท่งเดิมเขียนลงบนพื้นปูนว่า "ศาลส้น.." ซึ่งมวลชนก็ได้มาห้ามปรามการกระทำดังกล่าว พร้อมเช็ดทำความสะอาดให้อีกครั้ง ก่อนที่น้องหยกและเพื่อนชายจะนั่งรถยนต์ส่วนบุคคลออกไป
ต่อมา ศาลได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในการไต่สวนคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 3 ศาลมีคำสั่งกำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดการสอบสวนให้เสร็จในการฝากขังครั้งนี้ แม้ผู้ต้องหาทั้งสองมีอาการวิกฤตตามที่ผู้ร้องอ้าง แต่เมื่อผู้ร้องทั้งสองอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เชื่อว่าผู้ต้องหาจะไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต กรณีนี้ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมยกคำร้อง แจ้งคำสั่งให้ผู้ร้องและผู้ต้องหาทราบ