เมื่อเวลา 09.40 น. วันที่ 6 มีนาคม ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายอภิชาติ ศิริสุนทร สส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เป็นประธาน กับกมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ ที่มีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. เป็นประธาน มีการพิจารณาวาระติดตามปัญหาเขตปฏิรูปทับซ้อนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งได้เชิญ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, พล.ต.อ.พัชรวาทวงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.), เลขานุการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), เลขานุการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา,อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ, เจ้ากรมแผนที่ทหาร, ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา, ปฏิรูปที่ดินจังหวัดนครราชสีมา,นายอำเภอปากช่อง เข้ามาชี้แจง
ทั้งนี้นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. ในฐานะเลขานุการ กมธ.การที่ดินฯ ได้สอบถามว่า รับข้อมูลจากประชาชนและส่วนราชการในพื้นที่ว่ามีการเปลี่ยนมือและมีการใช้ที่ดินผิดประเภท รวมถึงการทุจริตคอรัปชั่นในพื้นที่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ หากกระบวนการออก ส.ป.ก.มีการทุจริต ผลประโยชน์ก็จะไม่ได้ตกสู่มือประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้วัตถุประสงค์ของ ส.ป.ก.คือการกระจายที่ดินสู่เกษตรกร แต่ขณะนี้ที่ดินไม่ได้อยู่ในมือของเกษตรกร เพราะมีกระบวนการทุจริตคอร์รัปชั่นทำให้ที่ดินไม่ตกถึงมือเกษตร ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่ได้รับความชัดเจนจากส.ป.ก.ว่าจะจัดการปัญหาการทุจริตอย่างไร รวมถึงจะป้องกันอย่างไรเพื่อให้เกิดการทุจริต และหากพบเจ้าหน้าที่ทุจริตจะทำอย่างไร นอกจากนี้ นโยบายของรัฐบาลยังได้มีการพูดคุยกันถึงเรื่องการจัดการพื้นที่ทับซ้อน ในทางปฏิบัติหาก ส.ป.ก.ออกในพื้นที่ที่มีแนวทางชัดเจนว่าเป็นเขตอุทยาน จะดำเนินการอย่างไร ทั้งนี้ หากมีการออก ส.ป.ก.ให้กับชาวบ้านจริง แต่อยู่ในพื้นที่อุทยานจะทำอย่างไร
นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชี้แจงว่า แผนที่เป็นตัวกำหนดว่าใครผิดกฎหมายหรือใครผิดระเบียบ หากผิดระเบียบก็แค่กล่าวตักเตือน แต่หากเป็นพื้นที่ ส.ป.ก.สามารถดำเนินการได้ เจ้าหน้าที่ที่ไปรังวัดเป็นพื้นที่ป่า ผิดระเบียบ ไม่ได้ผิดกฎหมาย ตอนนี้ต้องดูว่าหากอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แล้วผิดกฎหมายเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องถูกดำเนินคดี
“ไม่ใช่อย่างที่ผมบอกว่าอยากจบหล่อๆ เหมือนครั้งที่เจอในอุทยานแห่งชาติทับลาน แล้ววันนี้จะมาจบแบบนี้อีกไม่ได้ จึงต้องมีความชัดเจนว่าเป็นเขตอุทยานหรือเขตส.ป.ก. และส.ป.ก.มีอำนาจในการเข้าไปขีดเขตแดนหรือไม่ เพราะกฤษฎีกาก็ระบุว่าไม่สามารถทำได้ ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย หากบอกว่าเรื่องแผนที่เขตแดนจบแล้ว ก็ไม่ต้องมาคุยกัน แต่หากออกมาโดยไม่ชอบ ผมขอจบในชั้นศาล”นายชัยวัฒน์กล่าว
นายวีรยุทธ วรรณเลิศสกุล ผู้อำนวยการส่วนจัดการที่ดินชุมชนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ กล่าวว่า สำหรับเรื่องที่ดิน ส.ป.ก.หากอะไรที่ไม่ได้ออกถูกต้องตามระเบียบเงื่อนไข เพราะการประกาศคือการคลุมทั้งหมด ซึ่งเราต้องดูตามความเป็นจริง หากเป็นพื้นที่ป่า ระเบียบและกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจทำ ฉะนั้น ในบริเวณพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่เป็นปัญหาที่มีการทำรังวัดไปแล้ว 5 แปลง แต่สภาพไม่เหมาะสำหรับการทำกินเพราะเป็นพื้นที่ป่า เขาก็ไม่ออกให้ ทั้งนี้ ทาง ส.ป.ก.ได้มีการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ของตนเองไปแล้ว เป็นที่ชัดเจนว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์ของส.ป.ก. ซึ่ง ส.ป.ก.จะอนุมัติได้ต้องมีร่องรอยของการทำกิน และระเบียบมีการเขียนไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนที่มีการสอบถามว่า หากมีการยกเลิก ส.ป.ก.ไปแล้ว จะทำอย่างไรนั้น ในส่วนของกระทรวงทรัพย์ฯ เราได้มีการจัดที่ดินให้ราษฎรภายใต้กฎหมายของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมป่าไม้ และกรมอุทยาน ซึ่งจะให้สิทธิ์ราษฎรในการทำกิน และยังอนุญาตให้อยู่ตามปกติหากมีการเพิกถอน ส.ป.ก.
ขณะที่นายอภิชาติ ได้สอบถามสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกายึดหน่วยงานที่ประกาศแนวเขตตามพระราชกฤษฎีกาเป็นที่ตั้ง ก็แสดงว่าสิ่งที่กรมแผนที่ทหารทำมาเป็นแค่ข้อสังเกต เอามาสรุปว่าเป็นแนวเขตของใครไม่ได้ใช่หรือไม่
โดยตัวแทนคณะกรรมการกฤษฎีกา ตอบว่า กฤษฎีกาเคยมีหนังสือถึงสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าเขตดำเนินการของ ส.ป.ก. ในขณะนั้น ว่าน่าจะทำได้เฉพาะในเขตที่มีการจำแนกออกจากพื้นที่ป่าไม้ถาวรเท่านั้น คือพื้นที่ 3.3 หมื่นกว่าไร่ ถ้านอกเขตจำแนกไม่สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้ตามมาตรา 25 วรรคสาม กำหนดไว้ว่าการที่จะกำหนดเขต ส.ป.ก. ให้ดำเนินการเฉพาะเขตที่จะปฏิรูปที่ดินเท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านมามีปัญหากับประชาชน ต้องขออนุญาต ส.ป.ก.ก่อนดำเนินการใดๆ ในพื้นที่ เมื่อมีการแก้ไขกฎหมาย ส.ป.ก.ในปี 2532 กฎหมายจึงเขียนไว้ชัดว่าให้ดำเนินการเฉพาะในเขตที่จะดำเนินการปฏิรูปเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งอำเภอที่ได้ประกาศคลุมไว้ เว้นแต่กรณีที่มีความจำเป็น ซึ่งในกรณีที่เป็นปัญหานี้ทาง ส.ป.ก. อ้างว่ามีความล่าช้าและมีปัญหาเรื่องงบประมาณต่างๆ แต่จริงๆ แล้วเขตดำเนินการ ส.ป.ก. ทั้งหมดไม่ใช่ทั้งอำเภอ แต่เฉพาะบางส่วนของอำเภอเท่านั้น ทั้งนี้ กมธ.ได้ขอเอกสารจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทั้งหมดเกี่ยวกับการออก ส.ป.ก.เพื่อมาประกอบการพิจารณาด้วย
ต่อมานายเลาฟั้ง กล่าวอีกว่า จากการลงพื้นที่ได้ทราบจากชาวบ้านในพื้นที่ว่า มีการทุจริตออกโฉนดให้คนที่ไม่ใช่คนในพื้นที่ มีภูมิลำเนามาจากต่างจังหวัด ต่างอำเภอ ซึ่งตามกฏหมาย ส.ป.ก. ถือว่าไม่มีคุณสมบัติในการออกโฉนดหรือถือครองที่ดิน โดยพบว่ามีจำนวน 58 รายชื่อ โดยมี 10 รายชื่อ ที่ไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ จึงขอมอบเอกสารหลักฐานให้ ป.ป.ช.นำไปตรวจสอบต่อไป
ด้านตัวแทน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีการส่งเรื่องร้องเรียนไปที่ ป.ป.ช. และอยู่ระหว่างรวบรวมข้อเท็จจริง เสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อตั้งอนุฯ ไต่สวนหาผู้กระทำผิดต่อไป
ขณะที่นายสุริยน พัชรครุภานนท์ รองผู้อำนวยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) กล่าวว่า ควรจะมีการจัดลงสำรวจพื้นที่ เพื่อความชัดเจน ซึ่งคณะที่ประชุมก็เห็นด้วยและจะร่วมลงพื้นที่ด้วยเช่นกัน โดยคาดว่าจะสามารถลงพื้นที่เพื่อร่วมกันรังวัดที่ดินได้ภายในสัปดาห์หน้า และเชื่อว่าทุกอย่างจะจบที่คณะกรรมการวันแม๊พ
ด้านนายรังสิมันต์ กล่าวว่า ขอให้ทาง คทช.ออกหนังสือเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมอุทยานฯ ส.ป.ก. คทช. และจังหวัด เพื่อร่วมกันตรวจพิสูจน์รังวัดที่ดินให้เห็นกับตาและได้ข้อสรุปร่วมกัน โดย กมธ.จะร่วมลงพื้นที่ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อบุคคลที่ได้รับ ส.ป.ก. ซึ่งไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ เบื้องต้น จำนวน 10 รายชื่อนั้น พบว่า เป็นบุคคลที่มาจาก อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เขตปทุมวัน กทม. เขตประเวศ เขตสวนหลวง เขตมีนบุรี อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี อ.เถิน จ.ลำปาง อ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ