Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 35.95 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.84 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร (แกว่งตัวในกรอบ 35.81-36.08 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ ก่อนที่เงินบาทจะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง ในช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันหยุดของไทย หลังเงินดอลลาร์รีบาวด์ขึ้นบ้าง ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ขณะเดียวกันบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 4.30% อีกครั้ง ซึ่งการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับ ทำให้โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง 

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดมั่นใจมากขึ้นว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้งในปีนี้ สอดคล้องกับ Dot Plot ล่าสุด จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใส

ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ขณะเดียวกันควรเตรียมรับมือความผันผวนจากความวุ่นวายของการเมืองสหรัฐฯ ที่อาจนำไปสู่ภาวะ Government Shutdown ได้ในช่วงปลายสัปดาห์

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนมกราคม และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดย ISM (Manufacturing PMI) ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยหากอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ชะลอตัวลงตามคาด ส่วนดัชนี PMI สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ดีกว่าคาด สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังสดใส ก็อาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot ล่าสุด (ลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง และอาจเริ่มการลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายน) อย่างไรก็ดี หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด หรืออัตราเงินเฟ้อ PCE ชะลอลงกว่าคาด (โอกาสเกิดขึ้นต่ำ) ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมามองว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยได้มากกว่า Dot Plot ล่าสุดได้ นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะ บรรดาบริษัทค้าปลีก เช่น Macy’s, Lowe’s และ TJ Maxx ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ และที่สำคัญ ผู้เล่นในตลาดก็จะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงินในช่วงสภาคองเกรสสหรัฐฯ ตัดสินใจเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล ซึ่งความวุ่นวายของการเมืองสหรัฐฯ อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เสี่ยงเผชิญภาวะปิดการดำเนินงาน (Government Shutdown) และเสี่ยงจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ได้

▪ ฝั่งยุโรป – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่อัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะชะลอลงสู่ระดับ 2.5% (อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน 2.9%) สอดคล้องกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจยังไม่รีบส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น จนกว่าจะมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงเข้าสู่เป้าหมาย 2% ได้สำเร็จ ซึ่ง ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB เพื่อประกอบการพิจารณาแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB ที่ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า ECB อาจเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมเดือนมิถุนายน และอาจลดดอกเบี้ยราว -100bps ในปีนี้

▪ ฝั่งเอเชีย – ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น และยอดค้าปลีก (Retail Sales) ซึ่งหากออกมาแย่กว่าคาด ก็จะยิ่งทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังไม่รีบปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินให้เข้มงวดมากขึ้น อย่างที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ (เราคงมุมมองเดิมว่า BOJ อาจทยอยใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้) ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ผันผวนอ่อนค่าลงได้ นอกจากนี้ ในส่วนนโยบายการเงิน นักวิเคราะห์ต่างคาดว่า ธนาคารนิวซีแลนด์ (RBNZ) อาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.50% เพื่อให้มั่นใจว่า RBNZ จะสามารถคุมอัตราเงินเฟ้อได้สำเร็จ ส่วนในฝั่งจีน นักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของจีน ในเดือนกุมภาพันธ์ อาจได้รับผลกระทบจากช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งจะทำให้ชั่วโมงการทำงาน โดยเฉพาะในภาคการผลิตลดลงพอสมควร ส่วนภาคการบริการ แม้ว่าอาจยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่การฟื้นตัวในภาคการบริการก็อาจได้รับผลกระทบจากเทศกาลตรุษจีนเช่นกัน อาทิ ในภาคการก่อสร้างและบริการอื่นๆ 

▪ ฝั่งไทย – เราประเมินว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตในเดือนกุมภาพันธ์อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 47-48 จุด สะท้อนการฟื้นตัวของภาคการผลิตที่ดีขึ้น สอดคล้องกับการพลิกกลับมาขยายตัวของยอดการส่งออกสินค้า ทว่าโดยรวมภาคการผลิตของไทยยังคงอยู่ในภาวะหดตัว และอาจใช้เวลาสักพักกว่าที่จะกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเดือนกุมภาพันธ์ ก็อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 49 จุด เช่นกัน ตามการจ้างงานและการลงทุนภาคเอกชนที่ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นอาจมาจากผู้ประกอบการในภาคการผลิตที่จะยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย  

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมองว่าเงินบาทมีโอกาสแกว่งตัว sideways down จากปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าที่ทยอยแผ่วลง แต่เงินบาทก็ยังขาดปัจจัยหนุนการแข็งค่าที่ชัดเจน ทำให้การแข็งค่าจะเป็นไปอย่างจำกัด นอกจากนี้ ยังคงต้องจับตาทิศทางเงินหยวนของจีน (CNY) ราคาทองคำ รวมถึง ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเงินบาทได้พอสมควรในช่วงนี้ ขณะเดียวกันในช่วงปลายเดือน เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ของบรรดาผู้นำเข้า ทำให้เราประเมินว่า โซนแนวรับของเงินบาทอาจอยู่ในช่วง 35.80-35.90 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไปแถว 35.50-35.60 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวต้านยังคงอยู่ในช่วง 36.15-36.20 บาทต่อดอลลาร์

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า แม้เงินดอลลาร์จะแกว่งตัว sideways ตามที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า หลังผู้เล่นในตลาดได้เชื่อว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot ล่าสุด อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ หากบรรยากาศในตลาดการเงินพลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ซึ่งต้องรอติดตามสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ ในประเด็น Government Shutdown และรายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 35.55-36.20 บาท/ดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.80-36.05 บาท/ดอลลาร์

 

#ค่าเงินบาท #ดอกเบี้ย #ประชุมเฟด