เรืองไกร ร้อง กกต. สอบปมหุ้น สุดาวรรณ รมว.ท่องเที่ยวฯ ส่อนิติกรรมอําพรางหรือไม่ ชี้เข้าข่ายต้องห้ามตาม รธน. ม.187 ความเป็นรมต.สิ้นสุดลง พร้อมจี้ สอบบัญชีทรัพย์สิน กำนันป้อ-มาดามหน่อย หลังพบปล่อยกู้ลูก 193ล้าน

     เมื่อวันที่ 25 ก.พ.67 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือถึงประธาน กกต.ทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ตรวจสอบ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว. การท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยว่ายังคงเป็นหรือคงไว้ซึ่งการเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่อาจเข้าข่ายกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 หรือไม่ และจะเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่ ดังนี้ ข้อ 1. น.ส.สุดาวรรณได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งรายได้ต่อป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 4 ก.ค.66 โดยแจ้งรายการซื้อขายหุ้นแต่ยังไม่ได้รับเงินไว้ ดังนี้มีรายได้จากการขายหุ้นแต่ยังไม่ได้รับเงิน 459,364,000 บาท มีเงินให้กู้ยืมเป็นลูกหนี้สัญญาซื้อขายหุ้น 5 ราย รวม 459,364,000 บาท
     
ข้อ 2. ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ก.ย.66 น.ส.สุดาวรรณได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นรมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งไม่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อป.ป.ช. ในฐานะรัฐมนตรีอีกกรณีจึงควรใช้บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งรายได้ที่ยื่นต่อป.ป.ช.กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาเป็นข้อมูลในการตรวจสอบรายได้จากการขายหุ้นแต่ยังไม่ได้รับเงิน แต่ตั้งเป็นลูกหนี้ไว้ว่าน.ส.สุดาวรรณในตำแหน่ง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา มีการขายหุ้นดังกล่าวจริงหรือไม่ เพราะเหตุใดการขายหุ้นจึงไม่ได้รับชำระเงินเลย และทำไมจึงแจ้งเป็นเงินให้กู้ยืม(ลูกหนี้สัญญาซื้อขายหุ้น) ด้วยจำนวนที่เท่ากัน คือ 459,364,000 บาท
    
 ข้อ 3. หาก กกต.ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วมีเหตุอันควรสงสัยว่า ณ วันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี การซื้อขายหุ้นดังกล่าวยังไม่ได้ชำระเงินซึ่งมีจำนวนสูงมากนั้น จะเข้าข่ายเป็นการทำนิติกรรมอำพรางการถือหุ้นไว้ให้อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่นไม่ว่าในทางใด ๆ ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 วรรคสี่ หรือไม่ จะถือได้ว่าน.ส.สุดาวรรณ ในฐานะรมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ยังคงไว้ซึ่งความเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งหากถือเกินร้อยละ5 ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว ก็ต้องตรวจสอบต่อไปว่าเข้าข่ายกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 วรรคหนึ่ง หรือไม่ อันจะเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่
  
   ข้อ 4. เนื่องจากน.ส.สุดาวรรณได้แสดงรายการหนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือไว้ด้วย รวมเป็นเงิน 193,725,000 บาท โดยมี 3 รายการ ซึ่งกู้จาก นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล 2 รายการ และ กู้จาก นางยลดา หวังศุภกิจโกศล 1 รายการ ที่มีคำอธิบายระบุไว้ว่า เป็นเจ้าหนี้สัญญาซื้อขายหุ้น วันที่ทำสัญญา คือ 17 ก.ค.62 ดังนั้นเพื่อให้การตรวจสอบครบถ้วนรอบด้าน จึงขอให้ กกต.นำข้อมูลบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล และนางยลดา หวังศุภกิจโกศล ที่ยื่นไว้ต่อ ป.ป.ช.ทุกครั้ง มาประกอบการตรวจสอบเพื่อให้ทราบถึงรายการเคลื่อนไหวด้านเดบิทหรือเครดิตทางบัญชี หรือรายการรับ-จ่ายทางการเงิน (ถ้ามี) เกี่ยวกับการการซื้อขายหุ้นหรือจำหน่ายจ่ายโอนหุ้น หรือเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้นดังกล่าวด้วยว่า มีที่มาที่ไปอย่างไร และมีความเกี่ยวข้องกับการเป็นรัฐมนตรีของ นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล มาก่อนด้วย หรือไม่