บารมีเหนืออำนาจ เมื่ออาคันตุกะคนสำคัญ ผู้เช็กอินบ้านจันทร์ส่องหล้า อิมพอร์ตมาจากนอกประเทศ คือ สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานองคมนตรี แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และอดีต นายกรัฐมนตรี แลนดิ้งไทยแลนด์ด้วยภารกิจเยี่ยมเยียน ที่ปรึกษาส่วนตัวของเขา ณ ที่แห่งนี้

ก็ยิ่งขับเน้นความเขี้ยวทางการเมืองของ “พยัคฆ์เฒ่า” ที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังไม่สิ้นลาย และตอกย้ำภาพความเป็น “ศูนย์กลางอำนาจ” แทนที่ “ทำเนียบรัฐบาล”

ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่อึมครึม และจับจ้องไปถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่นักวิเคราะห์ต่างมองไปในทิศทางเดียวกัน ถึงการปรับคณะรัฐมนตรีและการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ขณะที่ผู้คนบางส่วนประหวั่นพรั่นพรึงถึงวิกฤติการเมืองในประวัติศาสตร์อาจย้อนคืนมา บ้างก็แว่วไปถึงเสียงจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ  “โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง”!

แม้ก่อนหน้านี้ “ทักษิณ”จะพยายาม “โลว์โปรไฟล์” เก็บตัวเงียบนับแต่เหยียบผืนแผ่นดินไทย แลนด์สไลด์กระบวนการยุติธรรม สร้างตำนาน “เทวดาชั้น 14”  ตลอด 180 วัน กว่าที่เขาจะได้รับการพักโทษ ทว่าแม้ภายในจะนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว

แต่ภายนอกชั้น 14 นั้น ไม่เคยเงียบ ยังคงมีกลุ่มมวลชนและผู้คนในขั้วตรงข้ามเคลื่อนไหวต่อต้านการกระทำการอย่าง “ย่ามใจ” พร้อมตั้งข้อสังเกตต่างๆ ถึงการปฏิบัติ “สองมาตรฐาน” ต่ออดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ อย่างต่อเนื่อง

แต่เมื่อกลับเข้าสู่รั้ว บ้านจันทร์ส่องหล้า แม้จะพยายามเก็บตัว แต่ยังคงมีบรรดาสส.และแฟนคลับคนเสื้อแดงที่แวะเวียนไปเยี่ยมเยียน โดยเฉพาะประหนึ่งสัญญาณปลุก “คนเสื้อแดง” ฐานอำนาจเดิมของพรรคเพื่อไทยให้กระชุ่มกระชวยขึ้น โดยเฉพาะพายัพ ปั้นเกตุ แกนนำคนเสื้อแดง นัดหมายคนเสื้อแดงมาให้กำลังใจที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้  ท่ามกลาง “คลื่นใต้น้ำ” ที่ไม่พอใจ โปรโมชัน “กลับบ้านเท่ๆ” ที่ “ทักษิณ”ได้รับ

“ภาพและอาการออกจาก รพ.นั้น แสดงให้เห็นการดีลยังไม่ถูกเบี้ยว แต่กลับได้รับการคุ้มครองกันเต็มที่อยู่ ขณะที่อารมณ์ของประชาชนเมื่อเห็นภาพคงรู้สึกอึดอัด ไร้ทางออก ดังนั้นการพักโทษกลับบ้านจึงไม่ใช่เรื่องชนะทางการเมืองเลย ขณะเดียวกันยิ่งทำให้การเมืองเดินบนเส้นทางบีบตันมากขึ้นไปอีก ...

...สิ่งที่ทักษิณกระทำมาทั้งหมดนั้น ได้นำพาไปสู่ความเสียหายของประเทศโดยอีก 1-2 เดือนข้างหน้า จะได้เห็นอะไรเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอาจมีแนวโน้มเดินข้ามเดือน พ.ค. ซึ่ง สว.ต้องหมดวาระลง จึงไม่ควรประมาท เพราะการเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ”จตุพร พรหมพันธุ์ ระบุ

แน่นอนว่า ภาพของ “ทักษิณ”ที่ปรากฏออกมาสู่สาธารณะ โดยใส่เฝือกอ่อนที่คอและที่แขนข้างขวาในวันที่ออกจากโรงพยาบาลตำรวจ สร้างความกังขาให้กับสังคม กลายเป็น “จุดอ่อน”ของรัฐบาลเศรษฐา ที่ถูกแรงเสียดทานต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติสองมาตรฐาน ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคของ 2 ลุงก็พลอยถูกตั้งคำถามไปด้วย และดูเหมือนว่าจะเกิดแรงกระแทก มากยิ่งกว่า ตัวของ “ทักษิณ”เองด้วยซ้ำ

แรงเสียดทานดังกล่าว ยังลุกลามไปถึงพรรคเพื่อไทย  หลังจากบรรดารัฐมนตรี ต่างให้ข้อมูลอาการป่วยของ “ทักษิณ”ไม่ตรงกัน ทั้ง “อ้วน”ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ระบุว่าเอ็นหัวไหล่ขาด และ สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ระบุว่ากระดูกหัก

กระทั่ง “บรู๊ค”ดนุพร ปุณณกันต์  โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาให้ข้อมูลอาการป่วยของนายใหญ่  โดยอ้างจากปากคำของ หัวหน้าพรรค ก็คือ “อุ๊งอิ๊ง”แพทองธาร ชินวัตร ที่ว่ามีอาการกระดูกคอเสื่อม และที่คล้องแขนเนื่องจากเอ็นเปื่อยยุ่ย ประกอบกับเคยติดโควิดมาแล้วถึง 3 รอบ และมีอาการลองโควิด ประกอบกับอายุมากถึง 70 ปีแล้วจึงมีอาการตามมามากและรุมเร้ามาตลอด

ทว่าดูเหมือนยิ่งแถลง จะยิ่งมัดตัวเอง โดย “หมอวรงค์”นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม มือปราบจำนำข้าว ประธานพรรคไทยภักดี ตั้งข้อสังเกตว่า หากผู้ป่วยมีอาการวิกฤต จะไม่สามารถผ่าตัดอาการเส้นเอ็นอักเสบได้ 

ขณะที่สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกกต. ได้ออกมาจี้ให้นำข้อมูลจากการชี้แจงของโฆษกพรรคเพื่อไทย นำไปสู่การสอบสวนว่า จนท.รัฐใด ที่ใช้วินิจฉัยโดยไม่ชอบนำไปสู่การประพฤติมิชอบในตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตั้งแต่ราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ ไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่กำกับดูแล

อีกทั้งยังย้อนศรกลับไปกระแทกพรรคเพื่อไทย ด้วย เทพไท เสนพงศ์ อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแสดงความเห็นว่า การที่คนระดับโฆษกพรรค ซึ่งมีหน้าที่ชี้แจงข่าวความเคลื่อนไหวของพรรคโดยตรง ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าว ให้กับคุณทักษิณโดยเฉพาะ น่าจะเป็นเรื่องผิดฝาผิดฝั่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนแปลกใจมาก

“เพราะฉะนั้นการที่ถูกกล่าวหาว่า พรรคเพื่อไทยเปรียบเสมือนบริษัทของครอบครัวชินวัตร ที่มีคุณทักษิณเป็นเจ้าของ ก็อย่าไปโมโหโกรธเคืองเขาเลย เพราะพฤติกรรมที่แสดงออก ทำให้สังคมเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ”

แต่เมื่อวิเคราะห์อย่างสังเคราะห์ เชื่อกันว่าสิทธิระดับ VVIP  ที่ทำให้ “ทักษิณ”ย่ามใจนั้น เนื่องจากฝ่ายอนุรักษนิยมต้องพึ่งพาให้ พรรคเพื่อไทยต่อกรกับ พรรคก้าวไกล

อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่ “ทักษิณ” เป็นสารพัดโรคเช่นนี้ แต่พื้นดวงของ “ทักษิณ”นั้น  เหมือนพวกฆ่าไม่ตาย เป็นดวง “จันทร์ ครุสุริยา” มีดาวจันทร์ ดาวพฤหัสฯและดาวอาทิตย์  เรียงกันอยู่ในระนาบเดียวกัน เหมือนจะตาย แต่ไม่ตาย

ขณะที่หลายฝ่ายยังคงไม่ไว้วางใจ “ดีลลับฮ่องกง” ที่หลุดออกจากปากของ “เสี่ยเอก”ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประกอบกับท่าทีของ พรรคก้าวไกล ณ วันที่ “ทักษิณ”กลับไทย กระทั่งพักโทษนั้น ไม่แข็งกร้าวจนผิดสังเกต ทำให้ยังมองเห็นความเป็นไปได้ ที่พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล จะเล่นละคร “ตบจูบ” กัน กระทั่งนำไปสู่การ “จับมือกัน”จัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งรอบหน้า

ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น เหลียวมองไปที่ฝั่งอนุรักษ์นิยม จะเหลือ “แม่ทัพ” คนใดต้านทานได้ และแม้ “ทักษิณ”จะเริ่มโรยรา แต่อีก 4 ปี “อุ๊งอิ๊ง”แพทองธาร ชินวัตร จะแข็งแกร่งพอที่จะลงสนาม

และหากใครจะคิดว่า วันนี้ “ทักษิณ”ลืมสิ้นแล้ว กับความเจ็บปวดที่ถูกรัฐประหาร 2 ครั้งทั้งสมัยที่ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี และสมัยของ “ปู”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น หาก “ไม่เอาคืน” คงไม่ใช่นิสัย

ยามนี้ “ทักษิณ”จึงอยู่ในภาวะ “แกล้งตาย”!!