กลยุทธ์ ของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง  ในการสานสัมพันธ์ กับ กองทัพ กำลังเป็นที่จับตามอง ว่า  นอกจาก เป็นเพราะ เป็น นายกฯ และรัฐบาล ผสมข้ามขั้ว ระหว่าง พรรคเพื่อไทย  ระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับ ขั้วอนุรักษนิยม แล้ว ที่ทำให้ เศรษฐา ญาติดี และให้ความสำคัญกับกองทัพแล้ว จะนำไปสู่ การควบ รมว. กลาโหม ในอนาคต หรือไม่

แม้ว่า เศรษฐา จะยืนยันว่า ยังไม่มีเรื่องของการปรับคณะรัฐมนตรี ยังไม่มี การพูดคุยในเรื่องนี้ก็ตาม แต่ก็ไม่ยังไม่ได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

เพราะมีกระแสข่าวมาตลอด โดยเฉพาะเมื่อ ทักษิณ อดีตนายกฯ พักโทษ กลับมาอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้า ถูกมองว่า กลายเป็น นายกฯตัวจริง และเป็นศูนย์กลางอำนาจ  มากกว่า ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

ดังนั้น เศรษฐา ก็ต้องพยายามแสดงบทบาท นายกฯ ตัวจริง ตามกฎหมาย ตามระบอบรัฐสภา  และหากคุมกองทัพ นั่งควบ รมว.กลาโหม ด้วย ก็จะทำให้ภาพลักษณ์การเป็นนายกฯ แข็งแกร่งขึ้น

นี่อาจเป็นเหตุผล ที่ทำให้ เศรษฐา ต้องคุมความมั่นคงเอง ไม่ได้มอบหมายรองนายกฯคนใด ดูแลความมั่นคง ก็เพื่อเป็นเหตุผล ในการประสานงานติดต่อสั่งการ กับผู้บัญชาการเหล่าทัพ ด้วยตนเอง

รวมถึงการแสดงออก ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์อันดีกับผู้นำเหล่าทัพ และ จะให้สัมภาษณ์การพบปะพูดคุย หรือโทรศัพท์คุยกับผู้นำ เหล่าทัพ ในการแก้ปัญหาเรื่องต่างๆเสมอพร้อมลงและภาพในโซเชียลมีเดียส่วนตัวของนายกฯอยู่ตลอด แม้แต่ในวันหยุดก็ยังเชิญผู้นำมาพูดคุย

เนื่องด้วยต้องการจะแสดงให้เห็นว่าสามารถดีล กับกองทัพได้เองโดยเฉพาะเมื่อสั่งการอะไรแล้วกองทัพ ปฏิบัติตาม แล้วก็จะนำมาให้สัมภาษณ์ หรือโพสต์ระบุว่าผู้นำเหล่าทัพได้ปฏิบัติตามที่ได้ขอความร่วมมือสั่งการไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาชายแดนเรื่องนโยบายที่ดินทหาร และการขอคืนพื้นที่กองทัพเพื่อ ให้ประชาชนใช้ประโยชน์

เพราะทำให้ สถานภาพการเป็นนายกฯที่สั่งการทหารได้แม้ในบางเรื่องที่กองทัพอาจจะไม่เต็มใจนักก็ตาม เช่นเรื่องการขอพื้นที่สนามกอล์ฟ กานตรัตน์ หรือสนามงู ในพื้นที่สนามบินดอนเมืองของกองทัพอากาศสนามกีฬาธูปะเตมีย์ สนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ และพื้นที่กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ ในการสร้างถนนเพื่อแก้ปัญหาการจราจรในตัวเมืองเชียงใหม่ และขอใช้พื้นที่กองบิน1 นครราชสีมา ในการจอดเครื่องบินพาณิชย์

แม้ “บิ๊กไก่” พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ. อาจจะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ต้องเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ก็ต้องยินยอมแต่ก็ต้องมีเงื่อนไขในการเสนอแนะการใช้พื้นที่ให้ชัดเจนมาก่อน

แต่ เศรษฐา ก็พยายามที่จะตอบแทนกองทัพ หากขออะไรหรืองบประมาณเพิ่มเติม ก็อนุมัติให้ได้ แม้แต่กรณี หนองวัวซอโมเดล ที่อุดรธานี ที่กองทัพบกคืนพื้นที่ให้กับกรมธนารักษ์ เกือบหมื่นไร่ เศรษฐา ก็ตอบแทนด้วยการ ขอให้ “บิ๊กต่อ” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก พาไปเยี่ยมค่ายประจักษ์ศิลปาคม ดูบ้านพักทหารและรับปากที่จะจัดงบประมาณในการสร้างบ้านพักใหม่ให้กำลังพล  เพราะเก่ามาก

ขณะที่กองทัพเรือ ก็กำลังถูกยึดคืนการไฟฟ้าสัตหีบ โดยให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เข้ามาดูแลการจ่ายไฟให้พี่น้องประชาชนสัตหีบ แทน  หลังจากที่มีความพยายามมาหลายสมัยแต่เพิ่งส่อเค้าสำเร็จในยุคนี้

แต่อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือยังคงส่วนที่จะทำเองในการกระจายไฟ ในฐานทัพเรือ เพื่อเหตุผลด้านความมั่นคงและการดูแลเรือรบและอาวุธยุทโธปกรณ์

เมื่อทางกองทัพตอบสนองนโยบายหลายเรื่อง เศรษฐา ก็ตอบแทนกองทัพในหลายเรื่องเช่นกัน โดยเฉพาะในการแต่งตั้งโยกย้ายในชั้นปีที่กำลังจัดทำอยู่ เพราะมีการอนุมัติเปิดอัตราเฉพาะตัว ให้กับนายทหารชั้นนายพล ที่จะเกษียณราชการได้เลื่อนยศสูงขึ้น แต่ตำแหน่งเฉพาะตัวนี้ก็จะปิดลงไปเมื่อนายทหารคนนั้นเกษียณ เพราะจำนวนนายพลมีโควตาน้อย ถือเป็นเรื่องถ้อยทีถ้อยอาศัย ของ เศรษฐากับผู้นำเหล่าทัพ

จะเห็นได้ว่า เศรษฐา เองก็พยายามจะกระเถิบเข้า มาใกล้ทหาร มากขึ้นโดยการนัดทานข้าวประเพณีระหว่างนายกรัฐมนตรี กับผู้นำเหล่าทัพและกลาโหม ซึ่งจัดครั้งแรกไปแล้วเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยใช้สถานที่เดียว กับที่ เศรษฐาเคยนัดพบทานข้าวกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลครั้งแรก

รวมถึงการที่ เศรษฐาไปร่วมงานของกองทัพเกือบทุกงานที่เชิญแม้แต่ การไปร่วมกิจกรรมมวยไทยซอฟพาวเวอร์ ที่ราชภักดิ์ ประจวบคีรีขันธ์ และการมามอบเอกสารที่ดินโฉนดที่ดินในโครงการหนองวัวซอโมเดล อุดรธานีด้วยตนเองเพราะเป็นนโยบายของรัฐบาลและเป็นโอกาสที่ได้ใกล้ชิดกับทางผู้นำทหารของกองทัพบก โดยเฉพาะ พล.อ.เจริญชัย ที่ในระยะหลังนี้เศรษฐา ก็มีการพูดคุยประสานงานมากขึ้นเนื่องจากมีขอบเขตความรับผิดชอบมากกว่าเหล่าทัพอื่น และเป็นเหล่าทัพใหญ่ รวมทั้งเป็นหลักของกองอำนวยการรักษาความมั่น คงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) อีกทั้ง พล.อ.เจริญชัย ก็ยังเป็น รอง ผอ.รมน. ด้วย

ที่ยิ่งทำให้อาจถูกจับตามองว่ามีโอกาสจะมาควบ รมว. กลาโหมในอนาคตมากขึ้น

แม้จะมีรายงานข่าวว่า สุทิน คลังแสง รมว. กลาโหม เองก็เริ่มหวาดระแวง และไม่มั่นใจในเก้าอี้ของตนเอง จนต้องมีการเช็คข่าวจากหลายทางว่า จริงหรือไม่ จนที่สุด เศรษฐา ก็ต้องยืนยันกับ สุทิน ว่าไม่เคยมีแนวคิดเรื่องนี้ ขอให้ทำงานต่อไปอย่างสบายใจ และ ไม่ต้องกังวล เศรษฐา ยังได้ยืนยันกับสื่อว่าแม้จะประสานงานทำงานใกล้ชิดพูดคุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพบ่อยครั้ง ก็เป็นเรื่องปกติเพราะตนเองก็คุยกับทุกกระทรวงทบวงกรม ไม่ได้มีความหมาย หรือนัยอะไรก็ตาม

แต่กระนั้น กระแสข่าวนี้ก็ยังคงมีอยู่ เพราะในที่สุดอาจจะมาเป็นนายกฯพลเรือนอีกคนหนึ่ง ที่ควบ รมว.กลาโหม เดินตามรอยเท้า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ควบ รมว.กลาโหมหญิงคนแรก อีกคน แต่ในบริบทสถานการณ์การเมืองและอำนาจที่แตกต่างกันไป  ไม่ได้ถูกจัดให้อยู่คนละขั้วกับกองทัพ เช่นยุคของ ทักษิณ และ ยิ่งลักษณ์  ที่จบด้วยการรัฐประหารเช่นกัน

อะไรก็ไม่แน่นอน เพราะ คนตัดสินใจ ไม่ใช่แค่ เศรษฐา เพราะในยุคนี้ที่ถูกมองว่ามีนายกมากกว่า 1 คน เช่นนี้ เศรษฐา ก็ต้องทำใจ