คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
แทบไม่น่าเชื่อว่า สหรัฐอเมริกาประเทศมหาอำนาจที่มีทั้งทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหาศาล มีทั้งความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจ และด้านการทหาร แถมความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีก็ยิ่งใหญ่ไม่เป็นที่สองรองใคร โดยความยิ่งใหญ่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ได้นำไปชูธงเป็นจุดเด่นใช้ในการหาเสียง
แต่ทว่าตอนนี้ระบอบการเมืองที่เคยเป็นแม่แบบอันดีของระบอบประชาธิปไตยที่ทั่วโลกเคยชื่นชม กลับตาลปัตรเปลี่ยนไปแบบสิ้นเชิง อีกทั้งสภาคองเกรสและศาลฎีกาของสหรัฐฯที่ถือว่าเป็นเสาหลักของระบอบประชาธิปไตยอันน่าภาคภูมิใจมาโดยตลอด แต่ขณะนี้ชาวอเมริกันเริ่มคลางแคลงใจและหมดความศรัทธา!!!
ศูนย์วิจัย “Statista” ที่กอปรด้วยบรรดานักวิจัยผู้มีความเชี่ยวชาญกว่าสองร้อยคนได้ออกมาเปิดเผยผลสำรวจเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2024 ว่า ชาวอเมริกันมีความพึงพอใจต่อสภาคองเกรสแค่เพียง 15% และศาลฎีกาสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นเสาหลักแห่งความยุติธรรมปรากฏว่ามีภาพลักษณ์ด้านลบแบบที่ตกต่ำสุดๆ
ดังจะเห็นได้จากผลการสำรวจของ “สำนักหยั่งเสียงกัลลัพโพล” เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2023 ปีกลายว่า ชาวอเมริกันมีความพึงพอใจต่อการทำงานของศาลฎีกาสหรัฐฯเพียงแค่ 47% เท่านั้น ซึ่งลดลงไปกว่า 20% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา
อีกทั้งจากศูนย์วิจัยชื่อเสียงโด่งดังของสหรัฐฯอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า “Annenberg Public Policy Center” ตั้งอยู่ที่ “มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย” ได้เปิดเผยไว้เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ปีค.ศ.2022 ในทำนองที่ว่า ชาวอเมริกันถึง 53% ขาดความเชื่อถือต่อศาลฎีกา
และยังมีผลจากการหยั่งเสียงของซีเอ็นเอ็นในหัวข้อเกี่ยวกับการรับฟังคดีทางการเมืองของศาลฎีกา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2024 ที่ถือเป็นการตัดสินชะตากรรมทางการเมืองของ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ปรากฏว่าชาวอเมริกันถึง 58% ต่างพากันคิดว่า “ผู้พิพากษาศาลฎีกามีความเอนเอียงเพราะเข้าไปช่วยเหลืออุ้มชูอดีตประธานาธิบดีทรัมป์แบบออกนอกหน้าไม่เกรงใจประชาชน”ทำให้ขณะนี้ชาวอเมริกันมีความไว้ใจและเชื่อถือต่อศาลฎีกา ซึ่งถือเป็นกระบวนการยุติธรรมอันทรงเกียรติของสหรัฐแค่เพียง 11%เท่านั้น!!!
คราวนี้ผมใคร่วิเคราะห์เจาะจงในเรื่องราวที่ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะยอมยกธงขาวไม่ไปต่อหรือไม่? และ เพราะเหตุใด?
ที่ผ่านมาแม้ว่าการบริหารประเทศของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะได้รับความเชื่อมั่นค่อนข้างสูงจากนานาประเทศ ดั่งจะเห็นได้จากผลการหยั่งเสียงของศูนย์ “Pew Research” ล่าสุดนี้ที่ค้นพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วทั่วโลกต่างมีความมั่นใจต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดนถึง 58%
แต่ในทางกลับกันปรากฏว่าคะแนนนิยมจากชาวอเมริกันที่มีต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีแค่เพียง 40% เท่านั้น
และถึงแม้ว่าคะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่มีภายในประเทศแสนจะตกต่ำมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ทว่าในการแข่งขันขั้นต้น เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2024 ณ รัฐเซาท์แคโรไลนา กลับปรากฏว่าเขาได้รับคะแนนเหนือคู่แข่งสองคนกว่า 96% เลยทีเดียว
ส่วนการเลือกตั้งขั้นต้นที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2024 นั้น แม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะมิได้ไปหาเสียงในรัฐนี้ก็ตาม แต่ปรากฏว่าชาวนิวแฮมป์เชียร์กลับเขียนชื่อของเขาลงไปในบัตรเลือกตั้งที่มีช่องว่าง มีผลทำให้เขาชนะคู่แข่งทั้ง 20 คนได้อย่างถล่มทะลาย
เท่ากับว่าความนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งค่ายพรรคเดโมแครต ก็ยังคงมีอยู่ค่อนข้างสูง
แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตจากการหยั่งเสียงของ “Monmouth University” โพลที่ได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างสูงได้ออกเปิดเผยเมื่อเร็วๆนี้ว่า ชาวอเมริกันเกือบ 50% คิดว่าในที่สุดแล้วประธานาธิบดีโจ ไบเดน อาจจะยอมยกธงขาวสืบเนื่องมาจากสุขภาพไม่ค่อยดี และความจำเริ่มเลอะเลือน
เข้าทำนองเดียวกันกับ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” เพราะถึงแม้ว่าเขาจะชนะ “อดีตผู้ว่าฯนิกกี เฮลีย์” ในการแข่งขันขั้นต้นทั้งสี่รัฐอย่างถล่มทลาย แม้กระทั่งในรัฐเซาท์แคโรไลนาที่ “นิกกี เฮลีย์” เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯก็ตาม กลับปรากฏให้เห็นว่าประธานาธิบดีทรัมป์สามารถได้รับชัยชนะเหนือเธอกว่า 30% ด้วยซ้ำไป
แต่กระนั้นก็ตามกลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาค่อนข้างหนาหูมากขึ้นทุกทีทุกทีว่า ในที่สุดแล้วอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ก็อาจจะไม่ได้รับการรับรองจากพรรครีพับลิกัน สืบเนื่องมาจากปัญหาทั้งทางด้านคดีแพ่งและคดีอาญาหลายๆคดี โดยเฉพาะคดีอาญาเขาถูกดำเนินคดีมากถึง 4 คดี 91 กระทง
อนึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2024นี้ปรากฏว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ถูก “ผู้พิพากษาอาเธอร์ เอนโกรรอน” จากรัฐนิวยอร์กสั่งปรับกรณีคดีแพ่งโทษฐานฉ้อโกงเป็นเงิน 355 ล้านดอลลาร์ แถมบวกดอกเบี้ยรวมเป็นเงินทั้งหมด 450 ล้านดอลลาร์ และยังสั่งห้ามมิให้เขาทำธุรกิจในนิวยอร์กนานติดต่อกันถึงห้าปีอีกด้วย!!!
ทั้งนี้หากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดของรัฐนิวยอร์ก ก็คงจะต้องใช้เวลาในการพิจารณาคดีนี้อีกหลายปี ที่ถือว่าเป็นผลดีทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์มีเวลาในการหาเงินเสียค่าปรับมากขึ้น
และถึงแม้ว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะได้รับชัยชนะและได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในอีก 9 เดือนข้างหน้านี้ก็ตาม แต่หากเขาเกิดแพ้คดีในขั้นอุทธรณ์ก็ย่อมจะสร้างความอับอายขายหน้าไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อเดือนที่แล้วดูเหมือนว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้รับคำสั่งให้จ่ายเงินในการพ่ายแพ้คดีแพ่งเรื่องการดูหมิ่นให้กับ “คอลัมนิสต์ อี.จีน แคร์โรลล์”เป็นเงินถึง 83.3 ล้านเหรียญเลยทีเดียว
ส่วนกรณีปัญหาด้านสุขภาพของประธานาธิบดีโจ ไบเดนนั้น จากรายงานของ “โรเบิร์ต เฮอร์” ที่ปรึกษาพิเศษของกระทรวงยุติธรรม ผู้ที่รับหน้าที่สอบสวนประธานาธิบดีโจ ไบเดน เกี่ยวกับเอกสารลับที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน นำไปเก็บไว้ที่บ้านพักของเขาในรัฐเดลาแวร์ ก็ได้ออกมาเปิดเผยล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า “ความจำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ค่อนข้างเลวร้ายจนน่าวิตก”
สำนักหยั่งเสียงชื่อดัง “Emerson College” ก็ออกมาเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ 16กุมภาพันธ์ 2024 เช่นกันว่า ชาวอเมริกันถึง 60% มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับอายุของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ส่วนคุณสมบัติของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์นั้นชาวอเมริกันถึง 51% คิดว่าไม่มีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำประเทศ และจากหยั่งเสียงของสำนักโพลเดียวกันนี้ระบุออกมาว่าชาวอเมริกัน 60% มีความกังวลเกี่ยวกับข้อกล่าวหาทางคดีอาญา 4 คดี 91 กระทงของประธานาธิบดีทรัมป์
เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์มีปัญหามากมายเกี่ยวกับคดีแพ่งและคดีอาญา ฉะนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ผู้ว่าฯนิกกี เฮลีย์ ยังไม่ยอมยกธงขาวในขณะนี้ อาจจะเป็นไปได้ว่าเธออาจจะรอส้มหล่นรับโอกาสได้เป็นตัวแทนช่วงการประชุมของพรรครีพับลิกันกลางเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ตามจากผลการหยั่งเสียงของ “NewsNation” ที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2024 ว่า ชาวอเมริกันถึง 59% ต่างไม่เห็นด้วยและไม่มีความตื่นเต้นสนใจไยดีที่จะให้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ รีแมตช์ ลงแข่งขันกันอีกรอบหนึ่ง
อนึ่งในเดือนสิงหาคม 2024 นี้ พรรคเดโมแครตจะมีการประชุมใหญ่ภายในพรรคเพื่อเลือกเฟ้นตัวแทนของพรรคในการที่จะเข้าไปลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดี โดยขณะนี้มีนักการเมืองที่อาจจะเป็นตัวสำรองแทนประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทั้งหมด 2 คนด้วยกันนั่นก็คือ “ผู้ว่าฯเกวิน นิวซัม”แห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย และ “ผู้ว่าฯกรีตเชน วิทเมอร์” แห่งรัฐมิชิแกน
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นนโยบายของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ที่มุ่งชูธงเน้นหนักในระบอบประชาธิปไตยอันดีของสหรัฐฯมาโดยตลอดๆ แต่ขณะนี้กระบวนการยุติธรรมของสหรัฐฯกลับดูตกต่ำไร้มาตรฐาน แต่เนื่องจากเขาโชคดีที่ยังมีจุดบวกมารองรับ เพราะสภาวะเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี แถมเขายังมีความได้เปรียบเพราะยังนั่งดำรงอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี ส่วนชะตากรรมของ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ที่กำลังเผชิญกับปัญหาด้านคดีอาญาถึง 4 คดี ก็นับเป็นจุดบอดอันยิ่งใหญ่ ที่เขาอาจจะมีสิทธิ์เข้าไปนอนในซังเต ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงๆก็น่าเป็นห่วงว่าจะเกิดเป็นเรื่องแตกแยกสร้างความโกลาหลอลหม่าน เพราะคงจะมีชาวอเมริกันที่เป็นฐานเสียงอันเหนียวแน่นของเขารับไม่ได้จนออกมาต่อต้านละครับ