ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“การวาดแต่งรูปรอยชีวิตให้ถูกต้อง จะสร้างคุณค่าต่อความประจักษ์แจ้งอย่างสมบูรณ์..เราจะเรียนรู้ในรับรู้ว่าสิ่งที่เราเผชิญหน้าหรือกระทำลงไปนั้น..มีรากเหง้าทางจิตวิญญาณอันลึกซึ้งเช่นไร..ในหลายๆขณะเราอาจต้องพบกับความขาดวิ่นแห้งแล้งแห่งคุณค่าเท่าที่ชีวิตจะพึงมีพึงได้..แต่การคิดวิเคราะห์อย่างถ่องแท้และเข้าใจก็จะทำให้เราเลี่ยงพ้นไปจากอคตินานาประการ..เหตุนี้เราจึงจำเป็นที่จะต้องวาดความหมายที่เราเป็นให้ชัดเจน..เพื่อที่ชีวิตจะได้ไม่หลงทางกับมายาของความสมบูรณ์แบบ อันจอมปลอมตลอดไป..”

บทเริ่มต้นในสาระของหนังสือ “ความสุขไม่ต้องสมบูรณ์แบบ” เปรียบดั่งเครื่องชี้ทาง ให้คนเราได้เลิกหมกมุ่นกับความคาดหวังอันเลื่อนลอย..เพื่อพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคของชีวิตอย่างแข็งแรง ที่จะก้าวต่อไปเบื้องหน้า..มันคือ..ความหลุดพ้นอันสมบูรณ์ที่คนเราจะได้พิสูจน์ตัวเองถึงลิขิตชีวิต ที่ไม่อาจเลี่ยงพ้น..

อะไรคืออะไรในวิถีแห่งความสุขนั้น และอะไรเป็นอะไรกันแน่ เมื่อความสุขนั้นต้องตกอยู่กับความไม่สมบูรณ์..ปริศนาแห่งใจนี้..คือภาพรวมแห่งสาส์นสำนึกที่เราจะค่อยๆได้พบและค้นพบจากหนังสือเล่มนี้..ในทุกขณะห้วงเวลาที่ได้มีโอกาสสัมผัส.. !

“ความสุขไม่ต้องสมบูรณ์แบบ” ..หนังสือความเรียงจากการเขียนและวาดภาพโดย “อีซึงซ็อก” (Lee Sueng-Seog)นักเขียนชาวเกาหลีผู้ตั้งใจที่จะชี้ให้เห็นว่า.. “..ความสุขที่เราต้องการ อาจเป็นความสุขที่เราไม่ต้องแสวงหา”..ถอดความและแปลเป็นภาษาไทยอย่างละเมียดละไม โดย “ตรองสิริ ทองคำใส”..เนื่องเพราะเราต่างตัดสินใจมีชีวิตที่จะทำอะไรๆเพื่อคนอื่น..จนหลงลืมเจตจำนงที่จะทำเพื่อตนเอง..เหตุนี้เราจึงต้องเจ็บปวดในเกือบทุกๆสถานะที่เราได้กระทำลงไป..มันคือทุกขเวทนาแห่งบาปที่เปื้อนใจที่เราตัดสินใจเลือกมาพันธนาการตัวเองจนดิ้นไม่หลุด..

แท้จริงแล้ว ...ความสุขหาใช่ความสบายใจที่ได้ทำอะไรโดยไม่ขัดสายตาหรือหัวใจคนอื่น  เราส่วนใหญ่จะยอมสยบยอมอยู่เช่นนั้น โดยไม่กล้าที่จะเชิดหน้าคิดหรือกระทำด้วยใจแห่งปณิธานอันกล้าแกร่งของตนเองเลย..นั่นคือจุดอ่อนที่อ่อนแอของชีวิตที่ไร้ความหมายต่อการดำรงอยู่ของตัวตนจริงๆ.. แต่เพียง..มองเห็นค่าอันควรค่าของชีวิตบ้างเราก็เห็นส่วนขยายของชีวิต..ที่จะก้าวไปสู่ความสมบูรณ์อันควรจะเป็นได้..แม้จะไม่เต็มรูป แต่ก็มีพลังพอที่จะทำให้ชีวิตเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิ...

หากนับเนื่องจากการประเมินตัวเอง..ความรู้สึกสัมผัสที่เราได้รับจากการค้นพบทางมโนสำนึกดังกล่าวนี้ จะทำให้เราตระหนักเห็นในชีวิตว่า ..อะไรคือสิ่งที่ควรค่าแก่การยึดถือในชีวิต..เราไม่สมควรที่จะใช้ชีวิตอย่างสะเปะสะปะ ดั่งเรือไร้หางเสือ..แต่ควรมีทิศทางที่มุ่งมั่นสู่อาณาเขตของความเป็นจริงในการดำรงอยู่อย่างแท้จริง..

เช่นเดียวกับว่า..เราต้องเข้าใจต่อการปลูกสร้างความสุขสู่ชีวิตอย่างมีคุณค่า...ความสุขหาใช่สิ่งที่สร้างขึ้นอย่างล่องลอย..และไร้สาระ แต่มันจักต้องมีน้ำหนักต่อการเสริมส่งชีวิตให้โลดแล่นไปเบื้องหน้า อย่างเต็มความหวัง..ภายใต้สายทางแห่งการดำรงอยู่และดำเนินไปอันถูกต้อง..นั่นเป็นเลือดเนื้อของชีวิตที่เปี่ยมเต็มไปด้วยพลังของการสรรค์สร้างที่จักไม่หลอกใจตนเอง..

ด้วยเหตุนี้..เราจึงต้องรู้จัก"ความรักที่แท้จริง"ที่จะมอบให้แก่ตัวเอง..ว่ากันว่าคนเราต่างเปราะบางต่อความรักที่แท้จริง..เราแทบไม่รู้เลยว่ามันมีรูปลักษณ์เป็นเช่นไร?..ทั้งความรักที่เรามอบให้แก่ตนเอง..หรือ ความรักที่เรามอบแก่คนอื่น ความไม่รู้ในความคลุมเครืออันซับซ้อนนี้..คือทุกขเวทนาในทางจิตวิญญาณที่เราถูกกระทำด้วยการโดนปั่นหัวอยู่ กระทั่ง..ความหมายอันแท้จริงของชีวิต..ต้องเลือนหายและถูกลบลืมไปจากชีวิต..อย่างหน้าเศร้า..

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการค้นพบนิยามอันแท้จริงของความสุข..ก็คือการอย่าใส่ใจใน ภาวะของการมองเห็นด้วยสายตาของคนอื่น..มันว่างเปล่าเกินไปเพราะทุกสิ่งที่เป็นความสุขอันหยั่งลึกของคนเรา..เกิดขึ้นจากหัวใจและอยู่ในหัวใจ..มันคือเชื้อปะทุของความซื่อตรงที่มิอาจมองข้ามผ่านได้..

ขณะที่ เราก็จำเป็นต้องทบทวนถึงน้ำหนักแห่งความสุขอยู่..ว่ามันได้ให้พลังชีวิตแก่เรา..ผ่านสถานการณ์ต่างๆในแต่ละสถานการณ์เพียงใด...ความสุขไม่สามารถจะวัดน้ำหนักด้วยเครื่องมือที่เป็นสามัญ แต่มันจะถูกกำหนดพลังงานออกมาได้..ด้วยโลกของผัสสะสำนึกอันแท้จริงตลอดไป..

...ที่น่าห่วงใย ในทัศนะของผู้คนของวันนี้..กลับเป็นการตอกย้ำจากความกังวลในเรื่องของความสุข ไปตกอยู่หรือจมปลักอยู่กับวังวนของความทุกข์..อย่างไม่น่าเชื่อ..

ดูเหมือน ณ วันนี้..ผู้คนจะแข่งขันกันเปรียบเทียบในเรื่องความทุกข์ จนกลายเป็นจารีตของความเศร้าอันแยกไม่ออกจากบริบทพื้นฐานของการรับรู้..ขณะที่ชีวิตจำเป็นต้องแสวงหาความสุข...บ่วงแห่งทุกข์ในความคิดที่วกวนก็ปรากฏตัวปิดกั้นเจตจำนงอันบริสุทธิ์และมีสีสันของชีวิตเสียเช่นนั้น..

ที่สุดแล้ว เราต้องมองชีวิตแห่งสุขให้เป็นความสุข..อย่าวาดความทุกข์ขึ้นในพื้นที่ของจิตใจ..ปล่อยวางในกันและกันให้ลึกซึ้ง..มองความ “หายนะของจิตวิญญาณ” ที่คอยจะรุกรานเข้ามาโจมตีชีวิตให้สั่นไหวกระทั่งแหลกสลายลงไปอย่างน่าเวทนา..

“ความสุขเกิดขึ้นแล้ว..ย่อมผลักดันให้ชีวิตโลดเต้นอย่างมีคุณค่าในทุกๆสถานการณ์เสมอ”  นี่คือหนังสือ ...เล่มเล็กๆเล่มหนึ่งในทางความรู้สึกสัมผัส..ที่ให้รสชาติในความหวังต่อเรา..ที่จะปลุกตื่นความอ่อนล้า..ที่ตอกตรึงและยึดครองตัวตนของเราด้วยภยาคติแห่งความขลาดกลัวรอบด้าน..ให้กลายเป็นแรงเหวี่ยงของเจตจำนงอันหาญกล้าที่จะมีชีวิตอยู่อย่างรู้เท่าทันตัวตน..

“อี ซึง ซ็อก” มองโลกอย่างพินิจพิเคราะห์และเข้าใจ ..การให้กำลังใจในวิถีของการเพ่งพินิจและตรวจสอบชีวิต..ย่อมสร้างนัยของการมีรากเหง้าต่อความเห็นอกเห็นใจที่ดี..บนพื้นที่ชีวิตแห่งการเผชิญต่อสัจธรรมของชีวิต..ตลอดไป..

“ตรองสิริ ทองคำใส” ถอดความหนังสือเล่มนี้ออกมาอย่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยแง่ผัสสะของความสุข..ภาษาของความเป็นต้นเรื่องคือ ความอิ่มเต็มของความหมายแห่งการอธิบายความ..ที่ทำให้บังเกิดหนทางแห่งความสุขที่..สามารถเข้าใจห่ากระแสของความทุกข์..จนมิอาจเป็นกาฝากที่รกเรื้อของชีวิต..ตลอดไป!!!

“ถ้าเธอรู้สึกก็คือรู้สึก.. อย่าพยายามก้าวผ่าน โดยพยายามทำความเข้าใจ หลายสิ่งมากเกินไป เพราะเธอไม่ผิดสักนิด หากไม่เข้าใจ”