“เศรษฐา” ย้ำยังพูดคุยเรื่องปรับครม.  เผยคุยผบ.เหล่าทัพบ่อย ไม่ได้หมายความจะคุมกลาโหม แจงไม่มีเรื่อง “ยิ่งลักษณ์”จะกลับไทยหารือในครม. ย้ำทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย “ประเสริฐ”บอกรัฐบาลไม่มี “นายกฯ” 2 คน แน่นอน ฝ่ายค้านคิดไปเอง ระบุ”ทักษิณ”ป่วย เป็นเรื่องปกติของคนสูงอายุ ไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน เตรียมหาเวลาไปกราบ 'พิชิต'ท้าใครข้องใจ'ทักษิณ'ได้รับการพักโทษ ให้เปิดสภาซักฟอก  ติง”อัยการ”ถ่ายภาพอดีตนายกฯ ส่อทำผิดกฎหมาย

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 20 ก.พ.67 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบข้อเสนอแนะ เพื่อป้องกันการทุจริตในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตรับไปพิจารณา เพื่อให้ได้ข้อยุติแล้วนำเสนอต่อครม.ใน 30 วัน ตามที่ตนได้แจ้งต่อสื่อมวลชนไปแล้วเมื่อวันที่ 15 ก.พ.

นายเศรษฐา ยังได้กล่าวถึงกรณีที่มีข้อสังเกตในอนาคตนายกฯ อาจจะมานั่งควบตำแหน่งรมว.กลาโหม ว่า คำถามเรื่องนี้คงต่อเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมาถึงกระแสข่าวปรับครม. วันนี้ทุกคน ทุกท่าน พยายามที่จะเร่งเข็นผลงานออกมา ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้  เมื่อถามว่า นายกฯสนใจที่จะมาคุมทหารเองหรือไม่ เนื่องจากเห็นไปพบและพูดคุยกับผบ.เหล่าทัพหลายคน นายเศรษฐา ยิ้มก่อนกล่าวว่า “ผมไปเจอเจ้าหน้าที่หลายกระทรวง ทบวง กรม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีนัยยะอะไร”

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องการเดินทางจะกลับประเทศไทย ได้พูดคุยเรื่องนี้อย่างไร ว่า ยังไม่มีเรื่องนี้เข้ามา ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย เมื่อถามว่า  จะเกิดวาทกรรมใหม่เกิดขึ้นหรือไม่ หากมีการนำน.ส.ยิ่งลักษณ์กลับประเทศ เช่นเดียวกับกรณีของนายทักษิณ  นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดคุยกันเรื่องนี้ แต่ยืนยันว่านับตั้งแต่ที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับมาเมื่อวันที่ 22 ส.ค.66 ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์กรณีการพักโทษของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นอภิสิทธิ์ชน ว่า จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ที่นายทักษิณเดินทางกลับมาประเทศไทย จนครบเวลาได้รับการพักโทษ ทุกอย่างทุกขั้นตอนเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ตนว่าเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด มีวิธีพิจารณาเกณฑ์อายุ เกณฑ์การพักโทษ

สำหรับกรณีที่ฝ่ายค้านวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจมีนายกรัฐมนตรีสองคนนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า เรื่องนี้คิดไปเอง  นายกรัฐมนตรีมีคนเดียวชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน วันนี้ก็บริหารประเทศอยู่และเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวของประเทศไทย ไม่มีสองสามนายกรัฐมนตรีแน่นอน ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่านายทักษิณไม่ได้ป่วยจริงนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า ตนดูจากข่าวก็เห็นว่าป่วย มีการใส่เฝือกบริเวณแขนและคอ เป็นเรื่องปกติที่คนอายุมากเป็นโรค โรคความดันบ้าง โรคหัวใจบ้าง ทุกคนต้องเข้ารับการรักษาตัว เป็นเรื่องที่รับฟังได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่ได้ทำงานกับนายทักษิณมานานจะมีการไปเยี่ยมหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ตอนนี้นายทักษิณเพิ่งได้รับการพักโทษอยู่บ้าน คงให้เวลาท่านอยู่กับครอบครัว แต่อย่างไรก็ตามถ้ามีเวลาและมีโอกาสดี ๆ ก็จะถือโอกาสไปกราบท่านอยู่แล้ว เพราะอยู่กับท่านมาตั้งแต่สมัยเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ซึ่งตอนที่ตนเป็น ส.ส.สมัยแรก ก็ได้ทำงานร่วมกับนายทักษิณ ในช่วงนั้นถือว่า นายทักษิณเป็นบุคคลที่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตประเทศได้หลายอย่าง จึงชื่นชม และมีความเคารพนับถือ ตั้งแต่ได้เข้ามาทำงานร่วมกับนายทักษิณ

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายทักษิณจะสามารถช่วยงานรัฐบาลอะไรได้บ้างหรือไม่นั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า ด้วยประสบการณ์ของนายทักษิณ และความรู้ ความสามารถในอดีตที่ผ่านมา ท่านสามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ แต่จะออกมาในบทบาทไหนไม่ทราบได้ ถ้ามองดูในสมัยก่อนช่วงที่อยู่ต่างประเทศ นายทักษิณก็แสดงความคิดเห็นหลายเรื่องที่เป็นห่วงประเทศ ผ่านทางรายการ Care Talk คิดเคลื่อนไทย ผ่านการสัมภาษณ์ต่าง ๆ ที่แสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อประเทศไทย เพราะฉะนั้น ตนคิดว่า ความคิดเห็นของนายทักษิณเป็นประโยชน์ ส่วนหน่วยงานไหนจะคิดอย่างไรก็สุดแต่จะคิด

นายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์กรณีนายทักษิณได้รับการพักโทษ ว่า เราต้องตั้งสติกัน อำนาจอธิปไตยของไทยแบ่งเป็นนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ การพักโทษอยู่ในขอบเขตอำนาจการบริหาร อย่างที่ตนเคยเรียน คดีเก่าๆ ของนายทักษิณที่กลับมารับโทษในกระบวนการยุติธรรมจบลงแล้วตั้งแต่ศาลออกใบแดงแจ้งโทษ ขณะนี้ท่านอยู่กระบวนบังคับโทษ บริหารโทษ ซึ่งอยู่ในอำนาจของฝ่ายบริหาร คือ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ที่บริหารโทษอยู่

นายพิชิต กล่าวว่า หากใครเห็นว่ากระบวนบังคับโทษไม่ถูกอย่างไร ก็ควรใช้เวทีสภาเพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกในสังคม ไปตั้งกระทู้ถาม หรือหากถึงเวลาที่เหมาะสมพรรคฝ่ายค้านก็ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ แล้วตรวจสอบกันในระบบสภาดีกว่าจะเลือกที่รักมักที่ชัง มีอคติต่อกัน แล้วให้ประชาชนตัดสินว่าการชี้แจงอันไหนตอบได้ ไม่ได้ เคลียร์ ไม่เคลียร์ ถ้าบ้านเมืองอยู่กันแล้วไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ ตามใจกัน เอาแต่ใจกัน อยากวิงวอน ตนตั้งใจมาพูด ไม่ได้จะว่าร้ายใคร ยืนยันเรื่องนี้สามารถตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายว่าการพักโทษเป็นไปตามหลักเกณฑ์และระเบียบหรือไม่ เราต้องมีหลักการ ยืนยันว่าการพักโทษนายทักษิณไม่ได้ทำลายกระบวนการยุติธรรม" นายพิชิต กล่าว

สำหรับคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่นายทักษิณถูกแจ้งข้อกล่าวหานั้น คดีนี้จะทำให้เห็นว่านายทักษิณเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วในเวลาที่เหมาะสม แม้จะไม่สะดวก นั่งรถเข็นไป นายทักษิณก็เข้าไปสู่กระบวนการยุติธรรม เริ่มนับหนึ่งตั้งไปพบอัยการ เพราะเป็นคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร และได้มีการนัดหมายฟังคำสั่งกัน ทั้งนี้ ขอว่าอย่าเอา 2 เรื่องมาปนกัน ถ้าเข้าใจตรงนี้ ขอให้เข้าใจกลไกระบบรัฐสภา เข้าใจเครื่องมือในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เราจะได้อยู่กันด้วยหลักด้วยเกณฑ์ ไม่เช่นนั้นจะกลับไปสู่ความแตกแยกในสังคมที่ไม่พึงประสงค์ ตนจึงออกมาพูดในวันนี้ให้ทุกคนตั้งหลักว่าระหว่างการพักโทษท่านก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างไม่อิดเอื้อน ไม่ได้ถูกอายัดตัว และไปพบอัยการเองด้วย ซึ่งตอนนี้ได้รับการประกันตัวออกมา

"ในฐานะนักกฎหมาย ผมมองว่าเรื่องการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมยาก มันน่ากลัวมากกว่าสิ่งที่เรียกร้องว่าทำลายกระบวนการยุติธรรม ยังมีอีกหลายเรื่องที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมยากมาก เราน่าจะมาศึกษาว่าทำไมหลายเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไม่ได้หรือเข้ายาก"นายพิชิต กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตเรื่องอาการนายทักษิณที่ระบุว่าวิกฤติ แต่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ นายพิชิต กล่าวว่า อยากให้ไปดูหลักเกณฑ์ของการพักโทษว่าท่านป่วยระดับไหน ไม่ใช่ว่าท่านจะต้องถึงขั้นโคม่า มันมีหลักเกณฑ์ ลำดับ การให้คะแนนสุขภาพ และการจะป่วยจริงหรือไม่ อย่าเอาความรู้สึกส่วนตัวมาวัด เราต้องแยกกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ออกจากตัวนายทักษิณ ซึ่งนายทักษิณเป็นฝ่ายถูกตรวจสอบว่าจะได้รับการพักโทษหรือไม่ ส่วนป่วยจริงหรือไม่ป่วยจริงให้ตรวจสอบกันในระบบรัฐสภา และคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการพักโทษมีรวมแล้ว 19 หน่วยงาน เรื่องนี้อยากให้ดูหลักเกณฑ์ เพราะถ้าเอาความรู้สึกมาวัดจะเถียงกันไม่จบ ส่วนที่มีการร้องเรียนให้แพทย์เปิดเผยอาการของนายทักษิณนั้น ไม่ใช่แค่นายทักษิณ แต่คนไข้ทั่วโลกไม่มีหมอคนใดจะเอาข้อมูลของคนไข้มาบอกกับสังคม มันเป็นกฎ กติกา จริยธรรม จรรยาบรรณของแพทย์ ส่วนกรณีไม่ติดกำไลอีเอ็มนั้น เป็นการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาพักโทษที่จะกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติตัวออกมา

“เมื่อวานไม่สบายใจระหว่างที่ท่านไปมอบตัว ได้ข่าวว่ามีอัยการท่านหนึ่งพยายามขอถ่ายรูปท่าน ไม่สบายใจครับ อยากให้ไปตรวจสอบกันว่าเป็นท่านใด ผมไม่สบายใจจริงๆ ไม่รู้จุดประสงค์ว่าจะถ่ายรูปเพื่ออะไร ทีมงานรายงานผมมา ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ไม่อยากเอ่ยนามว่าท่านใด" นายพิชิต กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขั้นตอนการรับทราบข้อกล่าวหาไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพใช่หรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า ไม่ควรถ่ายภาพอย่างยิ่ง ส่วนจะเป็นการละเมิดสิทธิ์หรือไม่นั้น ตนมองว่าท่านควรรู้เลยว่าผิดกฎหมาย ไม่ใช่แค่เรื่องละเมิดสิทธิ์ เมื่อถามว่า นายทักษิณได้พูดอะไรบ้างหรือไม่ เกี่ยวกับเสียงวิจารณ์ นายพิชิต กล่าวว่า ตนไม่ได้ติดต่อกับท่าน แต่สิ่งที่ตนพูดเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และข้อเท็จจริงที่ทราบ ส่วนการเคลื่อนไหวชุมนุมข้างทำเนียบฯนั้น ตนมองว่าเป็นสิทธิ์ แต่การให้ข้อมูลในที่ชุมนุม ควรให้ข้อมูลที่ถูกต้อง

ที่รัฐสภา นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกโฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย ตอบข้อสักถามผู้สื่อข่าวกรณีในพรรคเพื่อไทยได้มีการพูดคุยกันหรือไม่จะเข้าพบนายทักษิณ นายจิรายุ กล่าวว่า พวกเราก็อยากไปพบท่าน สมัยที่นายทักษิณอยู่ต่างประเทศพวกเราก็เดินทางไปหาท่าน แต่ตอนนี้นายทักษิณมาอยู่ที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ เราก็อยากไปแต่ช่วงเวลา ณ นี้ยังคงไม่เหมาะสม ก็อยากให้ท่านพักผ่อน

"คิดภาพครับว่าผมไปต่างประเทศมา 10 วัน ผมยังสั่งกะเพราไก่กินเลย ใจจะขาด กินแต่อาหารเลี่ยนๆ แต่นี่ท่านอยู่ตั้ง 17-18 ปี ก็ต้องให้ท่านทำความคุ้นเคย กับครอบครัว อนาคตอาจจะเห็นท่านไปเดินห้างหรืออะไรต่างๆ ก็ถือว่าท่านเป็นคนไทยคนหนึ่งที่จะอยู่ในประเทศไทย ที่จะแก้ปัญหาให้กับพี่น้องคนไทยด้วย" นายจิรายุ กล่าว

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากที่นายทักษิณออกมาอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นายจิรายุ กล่าวว่า จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ตนเป็นคนตัวเล็กตัวน้อยที่จะตอบ จึงขอสงวนประเด็นนี้ที่จะตอบ เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ที่จะไปวิเคราะห์ได้ ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ในรัฐบาล ว่าจะเห็นเป็นอย่างไร

เมื่อถามถึง กรณีที่พรรคฝ่ายค้าน และสว. ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าเป็นการกระทำ 2 มาตรฐานมีอภิสิทธิ์ชน นายจิรายุ กล่าวว่า ที่ฝ่ายค้านออกมาโจมตีว่า 2 มาตรฐาน พวกตนก็ถูกกระทำมา 2 มาตรฐานมาโดยตลอด ที่สำคัญคือมาตรฐานของสว. บางคน ก็ 3 มาตรฐาน บางคนก็เหาะเหินเดินอากาศมาเป็นสว. บางคนตนยังไม่รู้จักชื่อ พูดในสภาสักแอะก็ยังไม่เคย

'"ผมคิดว่าวันนี้มันเลยจุดเดือด เริ่มเข้าสู่จุดเย็นแล้วเป็นหน้าที่ของสว. และฝ่ายค้าน ที่จะช่วยกันขับเคลื่อนไปข้างหน้า เวลาผ่านมา 17 ปีแล้วไม่เบื่อกันหรือไง ปล่อยให้กลไกของประเทศทำงานไป นำพาประเทศไทยเข้าไปข้างหน้าดีกว่า" นายจิรายุกล่าว
เมื่อถามย้ำถึง การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) และการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี นายจิรายุ กล่าวว่า "ผมตัวเล็กตัวน้อยเกินที่จะตอบ"