วันที่ 16 ก.พ.67 เวลา 10.40 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ.ชุมพล  เหลืองเอี่ยม รองสารวัตรสอบสวน สภ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ สภ.ฯ ว่ามีชาวบ้านไปพบรถยนต์กระบะจอดติดเครื่องทั้งวั้งคืนอยู่บนถนนที่ลานชมวิว หมู่ 1 ต.ม่วงชุม อ.ท่าม่วงฯ ส่งสัยว่าเจ้าของรถจะไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบเรื่อง จากนั้น จึงเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่าเจ้าหน้าที่อาสาสมัครของมูลนิธิขุนรัตนาวุธประจำจุดรอรับเหตุ ต.บ้านใหม่ ได้มาตรวจสอบที่จุดเกิดเหตุที่อยู่บนถนนในจุดลานชมวิวข้างแม่น้ำแม่กลองแยกสายเก่า หมู่ที่ 1 ต.ม่วงชุม แล้ว พบรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสันสีแดง หมายเลขทะเบียน บษ.3741 ลำปาง จอดติดเครื่องอยู่

ทั้งนี้ทราบจากชาวบ้านว่า รถคันดังกล่าวมาจอดติดเครื่องไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 15 ก.พ.2567 ที่ผ่านมา และจากการตรวจสอบในพงหญ้ามีรองรอยหญ้าล้มเป็นรอยทางเดินลงไปในแม่น้ำ จึงวิทยุประสานไปที่มูลนิธิขุนรัตนาวุธ เพื่อขอกำลังนักประดาน้ำชุดสายธาร นำอุปรณ์การดำน้ำและเรือท้องแบนมาทำการลงงมค้นหาร่างของเจ้าของรถ ซึ่งคาดว่าน่าจะจมอยู่ในแม่น้ำ

จากการงมค้นหาอยู่นานประมาณ 45 นาทีก็พบร่างผู้เสียชีวิตเป็นผู้ชายจมอยู่ใต้น้ำในสภาพที่เสียชีวิตแล้ว จึงนำร่างขึ้นมาไว้บนฝั่ง และประสานแพทย์เวร รพ.สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 ให้มาร่วมชันสูตรพลิกศพ ตรวจสอบหลักฐานบัตรประชาชนทราบชื่อผู้ตายชื่อนายพีระพงษ์(ขอสงวนนามสกุล)อายุ 31 ปี อยู่บ้าน หมู่ 7 ต.แม่ทะ อ.แม่พระ จ.ลำปาง 

ผลการชันสูตรพลิกศของแพทย์ร่วมกับตำรวจ เบื้องต้นไม่พบว่า ตามร่างกายของผู้ตายมีบาดแผล หรือร่องรอยการถูกทำร้ายแต่อย่างใด สาเหตุการตายน่าจะเกิดจากขาดอากาศหายใจ สอบถามญาติไม่มีใครติดใจสงสัยสาเหตุการเสียชีวิต จากการสอบสวนปากคำพี่สาวผู้ตายทราบว่า นายพี่ระพงษ์ ผู้ตายทำงานอยู่ที่โรงเหล้าแห่งหนึ่งในเขต อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี มีประวัติป่วยเป็นโรคซึมเศร้าต้องกินยาอยู่เป็นประจำ คาดว่าการที่ผู้ตายฆ่าตัวตายครั้งนี้ ยาน่าจะหมด 

ก่อนหน้าที่ผู้ตายจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตายครั้งนี้ เมื่อคืนวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา ผู้ตายยังไลน์ขอโทษและคุยกับเพื่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นการฆ่าตัวตายเอง จึงมอบศพให้มูลนิธิฯ นำศพส่งสถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ กรุงเทพฯ เนื่องจาก แผนกนิติเวช รพ.ศูนย์ราชบุรี ปิดปรับปรุง เพืรอให้แพทย์ผ่าพิสูจน์เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงและมอบให้ญาตินำศพไปจัดการตามประเพณีทางศาสนาต่อไป